"เด็ก" หนึ่งในกลุ่มเปราะบาง ที่ผู้ก่อเหตุมักใช้ช่องโหว่ทางออนไลน์เข้าหาเด็ก ๆ ผ่านทางโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ต ทั้งล่อลวงถ่ายรูป-คลิปโป๊เปือยแลกเติมเงินเกม ล่วงละเมิดทางเพศ หรือหลอกซื้อของออนไลน์
ในวันเด็กแห่งชาติ 2568 มาสร้างความรู้ เสริมภูมิคุ้มกันให้น้อง ๆ ไม่ตกเหยื่อภัยออนไลน์
พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า เด็กอาจยังไม่มีวิจารณญาณเพียงพอ และถูกหลอกลวงจากภัยออนไลน์ได้ จึงแนะนำให้พ่อแม่ ผู้ปกครอง พูดคุยกับลูก และติดตามพฤติกรรมการใช้อินเตอร์เน็ตของบุตรหลาน แม้จะเป็นเรื่องส่วนตัว แต่บางอย่างต้องมีมาตรการดูแล ยกตัวอย่างบางบ้านกำหนดช่วงเวลาเล่นอินเทอร์เน็ต หรือนั่งเล่นด้วยกันในห้องรับแขก และไม่ควรปล่อยเด็กเล่นอินเทอร์เน็ตอย่างอิสระเกินไป
นอกจากนี้ ให้เปิดใช้งานเครื่องมือในการกรองเนื้อหาสำหรับเด็กในแอปพลิเคชัน หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อความปลอดภัย รวมไปถึงการให้ความรู้กับเด็กและเยาวชนเกี่ยวกับอาชญากรรมออนไลน์ เพื่อให้รู้เท่าทันและไม่ตกเป็นเหยื่อ
ขณะที่หนึ่งในภัยออนไลน์ต่อเด็กที่สร้างความบอบซ้ำทั้งทางร่างกายและจิตใจอย่างรุนแรง คือ การล่วงละเมิดทางเพศเด็กทางอินเทอร์เน็ต พบสถิติตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-31 ธ.ค.2567 จำนวน 346 คดี ในจำนวนนี้เด็กหญิงอายุ 8-14 ปี ตกเป็นผู้เสียหายมากสุด 118 คน รองลงมาอายุ 15-17 ปี 74 คน และเด็กชายอายุ 8-14 ปี 7 คน
หลอกจะให้เงิน เชิญเป็นดารา ชวนให้แก้ผ้า ท้าให้เปิดกล้อง
พ.ต.อ.รุ่งเลิศ คันธจันทร์ ผกก.กลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต (บก.ตอท.) กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) อธิบายถึงแผนประทุษกรรมของผู้ก่อเหตุ มักเข้าหาเด็กจากสิ่งที่พวกเขาชอบ ทั้งเกม การเติมเงินเกม ทำให้เด็กเกิดความไว้ใจ และหาโอกาสล่วงละเมิดทางเพศ แตกต่างจากสมัยก่อนที่ผู้ก่อเหตุมักเป็นคนใกล้ชิด หรือผู้ที่สามารถเข้าถึงตัวเด็กได้ง่าย
ทั้งนี้ เด็กจะถูกหลอกให้ถ่ายภาพ หรือส่งภาพไม่เหมาะสมไปให้ผู้ก่อเหตุ โดยจะนำไปใช้แบล็กเมล์ ข่มขู่ว่าจะนำไปเผยแพร่ หรือบอกพ่อแม่ ผู้ปกครอง และเพื่อน รวมถึงกรณีใช้เรียกเงินผู้ปกครอง
พฤติการณ์ "หลอกจะให้เงิน" มาเป็นอันดับ 1 ผู้ก่อเหตุจะขอให้เด็กถ่ายรูปหน้าอก หรือถ่ายภาพโป๊ส่งมาให้เพื่อแลกกับเงิน หรือล่อลวงด้วยไอเท็มในเกม ทั้งเพชร ตัวการ์ตูน ส่วนเด็กหน้าตาดี จะใช้มุก "เชิญเป็นดารา" ชักชวนเข้าวงการบันเทิง และให้ถ่ายรูปสำหรับใช้แคสติ้งงาน หากเป็นเด็กผู้ชายจะขอให้สวมเพียงกางเกงใน ล่อลวงจนเด็กยอมถอดออก และบันทึกภาพหน้าจอไว้เพื่อนำกลับมาแบล็กเมล์
"ชวนให้แก้ผ้า ท้าให้เปิดกล้อง" ผู้ก่อเหตุจะใช้โปร์ไฟล์ปลอมเป็นภาพสาวสวย ทำทีพูดคุยสร้างความสนิทสนมกับเด็กผู้ชาย กระทั่งขอให้สำเร็จความใคร่ หรือชวนกันแลกกล้อง และใช้คลิปเหล่านั้นนำไปแสวงหาประโยชน์
พ.ต.อ.รุ่งเลิศ กล่าวว่า แม้ในปี 2567 ตัวเลขคดีล่วงละเมิดทางเพศเด็กทางอินเทอร์เน็ตจะลดลงจากปี 2567 จาก 540 คดี เหลือ 346 คดี แต่ตำรวจยังคงร่วมมือกับ NGO และกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เข้าไปอบรบให้ความรู้กับเด็กในโรงเรียน เพื่อให้รู้เท่าทันภัยออนไลน์
ยกตัวอย่างเคสล่าสุด เจ้าหน้าที่จับกุมผู้ก่อเหตุแรงงานชาวเมียนมา และช่วยเหลือพี่น้องเด็กชาย 2 คนที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ โดยผู้ก่อเหตุหลอกผู้ปกครองเด็กว่าจะพาไปทำงาน สุดท้ายอาศัยจังหวะที่อยู่เพียงลำพังล่วงละเมิดเด็กและนำคลิปไปขายในกลุ่มลับ พร้อมขู่เด็กว่าห้ามบอกใคร จนเด็กเกิดความกลัวและอับอาย
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่จำกัดเพศและวัย ส่วนใหญ่พบว่าผู้ก่อเหตุเป็นโรคใคร่เด็ก สร้างบาดแผลและภาพจำให้ผู้เสียหาย เราคุยกับเด็กก็รู้สึกสลด เขาบอกว่าเจ็บ กลัวจึงไม่ได้ขอความช่วยเหลือ แต่ดีใจที่ผู้ก่อเหตุถูกจับ ทำให้เขาหลุดพ้นจากตรงนี้
อ่านข่าว : รวบ "หนุ่มเมียนมา" ลวงเด็กล่วงละเมิดทางเพศ-ขายคลิปในกลุ่มลับ
ใช้โซเชียลฯ เลี้ยงลูก จิตแพทย์เตือนเสี่ยงเหมือนเปิดประตูบ้านทิ้งไว้
แกะกล่อง "ของขวัญ" สุดปังวันเด็กปี 2568
วันเด็ก 2568 ปักหมุดสถานที่จัดงาน กับกิจกรรม-ของขวัญมากมาย
วันนี้ (10 ม.ค.2568) กรณีที่มีชายไทยเสียชีวิตจากการตกตึก 18 ชั้น ในเมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เปิดเผย ได้มอบให้ตำรวจ สอท.ประสานงานกับตำรวจที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ ทั้ง ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อขอรับทราบข้อมูล
รวมถึงสาเหตุที่แท้จริงอาคารที่เกิดเหตุข้อมูลการสืบสวน และการออกหมายจับผู้ต้องหาที่กระทำความผิดในคดีอาชญากรรมออนไลน์อื่น ๆ พบว่า เป็นอาคารเดียวกันและอยู่ในละแวกใกล้เคียงกัน จึงทำการตรวจสอบเพื่อเก็บเป็นข้อมูลในการสืบสวนสอบสวนของตำรวจ สอท. โดยผู้ที่เสียชีวิตจากการตรวจสอบพบว่า ไม่ได้เป็นผู้ที่มีหมายจับ แต่ยังไม่ทราบว่าผู้เสียชีวิตเข้าไปทำหน้าที่ส่วนไหนยังต้องรอการรายงานเป็นทางการจากหน่วยงานที่รับผิดชอบที่ประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้าน
แต่มีข้อมูลว่ามีผู้ต้องหาตามหมายจับที่ยังตามจับตัวไม่ได้ บางส่วนทำงานอยู่ที่ตึกละแวกนั้น ซึ่งข้อหาที่ได้ออกหมายจับไว้เป็นข้อหาเกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชน ที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายคอลเซนเตอร์หรือการพนันออนไลน์
แม่วอนช่วยสืบคดีลูกชายเสียชีวิต
ขณะที่ นางปิ่นนภา ดียิ่ง อายุ 64 ปี มารดาของนายอลงกรณ์ ชายที่ตกจากตึก 18 ชั้นในปอยเปต ประเทศกัมพูชา เสียชีวิต ระบุว่า หลังจากทราบข่าว ตนเองยังคงกินไม่ได้นอนไม่หลับมาเป็นเวลา 2 วันแล้ว จนถึงขณะนี้ยังคงเชื่อว่า ลูกของตนถูกหลอกไปทำงานที่ปอยเปต ไม่ได้สมัครใจไปเองเพราะลูกชายบอกกับตนเองว่าจะไปทำงาน ที่ จ.ราชบุรี ไม่ได้คิดจะเดินทางไปทำงานที่ปอยเปตอย่างแน่นอน
ตนเองไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ที่จะสามารถหาความจริงในเรื่องนี้ได้ จึงอยากวิงวอนไปถึงผู้ที่มีความสามารถให้ช่วยมาทำคดีสืบหาความจริงและให้ความเป็นธรรมกับลูกชายของตนด้วย รวมถึงอยากให้ภาครัฐ หาวิธีการแก้ไขปัญหาเรื่องของคนที่ถูกหลอกไปทำงานที่ปอยเปต ไม่อยากให้เกิดกรณีอย่างลูกของตนขึ้นอีก
อ่านข่าว : ตร.เผยคนไทยกว่าร้อยคน ทำงานในตึก 18 ชั้น ฝั่งปอยเปต
ตร.เร่งคลายปม เหตุ "คนกาญจนบุรี" ตกตึก 18 ชั้นในปอยเปต
เร่งสอบปมเพจดังชี้ "คนไทย" ตกตึกชั้น 18 ในปอยเปต
วันนี้ (10 ม.ค.2568) พ.ต.อ.ประสพโชค เอี่ยมพินิจ ผกก.สน.ห้วยขวาง เปิดเผยความคืบหน้าว่าคดีที่ชิงเงินชาวจีน โดยเกิดขึ้นในท้องที่ 2 คดี ว่า ตำรวจสามารถยึดเงินสดของกลางกลับคืนมาได้ทั้งหมด 13 ล้านบาท ขณะนี้เก็บไว้เป็นของกลางจนกว่าจะทำสำนวนคดีแล้วเสร็จ ก่อนจะคืนให้แก่ผู้เสียหาย
ผกก.สน.ห้วยขวาง กล่าวว่า ทั้ง 2 เหตุการณ์มีนายเฉิน เป็นโบรกเกอร์ในการซื้อขายแลกเปลี่ยน และเป็นต้นเหตุของความขัดแย้ง โดยก่อนหน้านี้นายเฉินจะเป็นตัวกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินดิจิทัลระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ที่ผ่านมามีการซื้อขายกันได้จริง โดยผู้ขายจะต้องโอนเงินดิจิทัลเข้าบัญชีนายเฉินก่อน เนื่องจากให้ราคาถูกกว่า ทำให้ผู้ซื้อสามารถนำไปขายทำกำไรต่อได้
สำหรับแผนประทุษกรรมก่อนหน้านี้ มีการซื้อขายกันได้จริง โดยเริ่มต้นจากการซื้อขายหลักแสนบาท ซึ่งที่ผ่านมามีการนัดเจรจาตกลงกันผ่านแอปพลิเคชัน Telegram ทำให้ผู้ซื้อและผู้ขายที่เคยให้นายเฉินเป็นโบรกเกอร์เกิดความเชื่อใจ ในครั้งต่อมาจึงซื้อด้วยจำนวนเงินที่มากขึ้น กระทั่งครั้งล่าสุดเมื่อวานนี้ (9 ม.ค.) หลังจากที่ผู้ขายได้โอนเงินเข้าบัญชีนายเฉิน แต่นายเฉินกลับไม่โอนเงินดิจิทัลให้กับผู้ซื้อ จึงทำให้เกิดปัญหาระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายที่ไม่เป็นไปตามข้อตกลง ทำให้เงินดิจิทัลตกไปอยู่ในมือนายเฉิน
จากการตรวจสอบล่าสุด พบว่านายเฉินเดินทางออกจากประเทศไทยไปมาเก๊า เมื่อช่วงเย็นวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมา ทำให้ทราบว่าบงการอยู่ที่มาเก๊า
นอกจากนี้ ได้ประสานข้อมูลไปยัง สน.มักกะสัน เพื่อตรวจสอบอีก 1 คดีที่เกิดขึ้นในลักษณะเดียวกัน และวันเดียวกัน โดยมีความเสียหาย 4.5 ล้านบาท ปรากฏว่าโบรกเกอร์ไม่ใช่นายเฉินที่เป็นต้นเหตุในคดีที่เกิดขึ้นในท้องที่ สน. ห้วยขวาง
สำหรับรถโตโยต้า อัลพาร์ด ที่ใช้ก่อเหตุชิงเงิน 5 ล้านบาท ตำรวจได้นำมาจอดไว้ที่ สน.ห้วยขวาง โดยเมื่อคืนนี้ (9 ม.ค.) เจ้าที่พิสูจน์หลักฐานได้ตรวจสอบเก็บหลักฐานภายนอกรถเบื้องต้นแล้ว หากได้กุญแจรถมาก็จะประสานให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภายในรถอีกครั้ง
เบื้องต้นสอบปากคำพยานแล้ว 3 ปาก โดยในวันนี้ได้นัดให้เจ้าของอาคารย่านยานาวาที่เจ้าของรถคันก่อเหตุไปเช่าเปิดออฟฟิศมาให้ปากคำเพิ่ม
สำหรับเงินจำนวน 13 ล้านบาท จะเป็นเงินที่มาจากการทำธุรกิจสีเทาหรือไม่นั้น ขณะนี้ตำรวจอยู่ระหว่างตรวจสอบเพิ่มเติม
อ่านข่าว : ตร.เร่งตามจับ 3 ผู้ก่อเหตุวิ่งราวทรัพย์คนจีน 5 ล้าน ย่านห้วยขวาง
DSI เตรียมตั้งคณะทำงานดูความเห็นแย้ง หลังอัยการสั่งไม่ฟ้อง 2 บอส
แม่รอรับอัฐิ ลูกชายบอกไปทำงานราชบุรี ก่อนพบตกตึกที่ปอยเปต
ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษส่งสำนวนคดีพิเศษที่ 119/2567 กรณี บริษัท ดิไอคอนฯ ให้พนักงานอัยการโดยเสนอความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 19 ราย ซึ่งเป็นนิติบุคคลจำนวน 1 ราย คือ บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด และผู้ต้องหาซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา จำนวน 18 ราย ได้แก่ นายวรัตน์พล หรือ บอสพอล กับพวก
ในความผิดฐาน (1) "ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน (แชร์ลูกโซ่)" อันเป็นความผิดตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (2) "ร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรงประกอบธุรกิจตลาดแบบตรงในลักษณะที่เป็นการชักชวนให้บุคคลเข้าร่วมเป็นเครือข่ายในการประกอบธุรกิจโดยตกลงว่า จะให้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการหาผู้เข้าร่วมเครือข่ายดังกล่าวซึ่งคำนวณจากจำนวนผู้เข้าร่วมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น" และ (3) "ร่วมกันประกอบธุรกิจขายตรงโดยไม่ได้รับอนุญาต" อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 (4) "ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน" และ (5) "ร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน" อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 นั้น
ต่อมาเมื่อวานนี้ (วันพุธที่ 8 ม.ค.2568) อธิบดีอัยการคดีพิเศษ มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหา จำนวน 17 ราย และมีคำสั่งไม่ฟ้อง นายยุรนันท์ หรือบอสแซม และ น.ส.พีชญา หรือ บอสมีน ทุกข้อกล่าวหา และจะส่งสำนวนพร้อมความเห็นสั่งไม่ฟ้องมายังอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษเพื่อพิจารณาว่าจะมีความเห็นแย้งในคำสั่ง ไม่ฟ้องหรือไม่ ตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547
กรณีดังกล่าว พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการกองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ ในฐานะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า หากกรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับสำนวนการสอบสวนคดีดังกล่าวจากสำนักงานอัยการคดีพิเศษ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ จะพิจารณาและมีความเห็นไปยังพนักงานอัยการ ภายใน 30 วัน ว่าจะมีความเห็นแย้งหรือไม่ หากไม่แล้วเสร็จก็ขยายระยะเวลาได้ทั้งนี้อาจตั้งคณะกรรมการขึ้นพิจารณากลั่นกรองเป็นการเฉพาะก็ได้เนื่องจากมีเนื้อหาและรายละเอียดมาก
สำหรับ การสอบสวนพิเศษที่เกี่ยวข้องกับ กรณีบริษัทดิไอคอนฯ นั้น กรมสอบสวนคดีพิเศษยังมีสำนวนการสอบสวนอยู่อีก 2 คดี คือการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานในคดีความผิดฐานฟอกเงินกับผู้ต้องหาทั้ง 19 ราย และผู้เกี่ยวข้องในการกระทำความผิดรายอื่น ๆ รวมทั้งประเด็นการสอบสวนและดำเนินคดีในความผิดที่เกิดขึ้น นอกราชอาณาจักร ตามที่อัยการสูงสุดมอบหมายด้วย ซึ่งจะเร่งทำการสืบสวนสอบสวนโดยเร็วต่อไป
อ่านข่าว : คืนอิสรภาพ "แซม-มิน" ปล่อยตัวพ้นเรือนจำหลังอัยการสั่งไม่ฟ้อง
ปปง.แจงกรณีอายัดทรัพย์ “มิน-แซม”
เด็ดปีก 18 บอสส่งอัยการ DSI จ่อเชือดเครือข่าย ดิไอคอน ภาค 2
ภาพกล้องวงจรปิดบันทึกเหตุการณ์วันที่ 7 ม.ค.2568 ก่อนที่ชายชาวไทย ชื่อ นายอลงกรณ์ ชาว จ.กาญจนบุรี อายุ 31 ปี จะพลัดตกลงมาจากชั้น 14 เสียชีวิต ในเมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา
ผู้เสียชีวิตผละจากชายอีกคนหนึ่งที่นั่งเก้าอี้ หลังพูดคุยอะไรกันบางอย่าง ก่อนเดินไปตามโถงทางเดินชั้น 14 พร้อมแสดงอาการคล้ายยกมือไหว้ และน่าจะส่งเสียงดังในระดับหนึ่ง เพราะมีชาย 2 คน ชะโงกออกมาจากห้องผู้เสียชีวิต เดินต่อไปที่หน้าต่าง โดยมีชายที่นั่งเก้าอี้ ลุกเดินตามไป
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ผู้เสียชีวิตพลัดตกจากหน้าต่างชั้น 14 ขณะที่บรรยากาศชั้น 14 คนในห้องต่าง ๆ พากันออกมาดูเหตุการณ์ หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยปิดพื้นที่ ก่อนจะเปิดให้ตำรวจเข้าตรวจสอบภายในบริเวณอาคาร ส่วนญาติผู้เสียชีวิต ประสานให้หน่วยงานชายแดนไทย-กัมพูชา ดำเนินการเรื่องศพ และขอรับอัฐิกลับบ้าน
จุดเกิดเหตุ "อาคาร 18 ชั้น" เชื่อมต่อกับอาคาร 25 ชั้น ตั้งอยู่ย่านเศรษฐกิจกลางเมืองปอยเปต ถูกระบุเป็นฐานสแกมเมอร์รายใหญ่ มีอดีตนักการเมืองระดับสูงใกล้ชิด ฮุน เซน เป็นเจ้าของ ปล่อยเช่าเหมาชั้นให้ชาวจีนใช้เป็นฐานคอลเซนเตอร์
ชั้นล่างของตึก 25 ชั้นเป็นกาสิโน ส่วนชั้นบนเป็นฐานเว็บพนันออนไลน์หลายบริษัท ส่วนตึก 18 ชั้น เป็นตึกปิด ทุกชั้นถูกใช้เป็นฐานสแกมเมอร์รายใหญ่ และห้องสแกนหน้าโอนเงินบัญชีม้า ตึกทั้งคู่มีทางเข้าออกทางเดียว รักษาความปลอดภัยเข้มงวด
เหตุคนไทยตกตึก 18 ชั้นที่เมืองปอยเปตครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก มีคนไทยตกตึกเดียวกันนี้เสียชีวิตถึง 3 คนในรอบไม่ถึงปี
มีข้อมูลว่า เฉพาะอาคารนี้ มีคนไทยกว่าพันคน เข้าข่ายเป็นผู้เสียหายจากขบวนการค้ามนุษย์ เนื่องจากถูกข่มขู่ กักขังหน่วงเหนี่ยว หลอกทำงาน และทำร้ายร่างกาย ในจำนวนนี้กว่า 200 คนถูกกักขังในห้องลับ ทำหน้าที่ "ม้าสแกนหน้าโอนเงิน" และยังมีคนไทยสูญหายอีกนับร้อยคน ส่วนใหญ่ลักลอบเข้าไปทำงานสีเทา ทำให้การช่วยเหลือ หรือเรียกร้องขอความเป็นธรรมเป็นเรื่องยาก
เฉพาะปีที่ผ่านจนถึงวันนี้ มีรายงานคนไทยขอความช่วยเหลือจากสถานเอกอัครราชทูตไทยในกัมพูชาเกือบ 7,000 คน ส่วนใหญ่อยู่ใน จ.พระสีหนุ บันเตียเมียนเจย และ ซวายเรียง
ทีมข่าวไทยพีบีเอส ลงพื้นที่ชุมชนตลาดค่ายสุรสีห์ ต.ลาดหญ้า อ.เมืองกาญจนบุรี พบกับ นาง ปิ่นนภา อายุ 64 ปี แม่ของนายอลงกรณ์ ผู้เสียชีวิต โดยแม่ของผู้เสียชีวิต โดยเล่าเหตุการณ์ว่า เมื่อวัน 6 ม.ค. ประมาณ 3 ทุ่มกว่า ๆ ลูกมาบอกว่า จะเดินทางไปทำงานกับเพื่อน 3 วันที่ จ.ราชบุรี แล้วก็ออกจากบ้านไป แต่ไม่ได้บอกว่าจะทำงานอะไร ตอนกลางคืน มีผู้ชายมารับ ลูกบอกว่าจะกลับมาวันพุธ ไม่คิดว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกับลูก
นางปิ่นนภา ให้ข้อมูลอีกว่า น้องชายได้ดำเนินการประสานกับทหารที่นั่นแล้ว โดยให้ทางปอยเปตเผาศพแล้วส่งกระดูกมาที่บ้านกาญจนบุรี โดยการส่งทางไปรษณีย์ และจะได้ทำบุญทำพิธีทางศาสนาอีกครั้งหนึ่ง
อ่านข่าวเพิ่ม :
เร่งสอบปมเพจดังชี้ "คนไทย" ตกตึกชั้น 18 ในปอยเปต
ตร.เร่งคลายปม เหตุ "คนกาญจนบุรี" ตกตึก 18 ชั้นในปอยเปต
ตร.เผยคนไทยกว่าร้อยคน ทำงานในตึก 18 ชั้น ฝั่งปอยเปต
กองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวน บริษัท ป.พัฒนารุ่งโรจน์ก่อสร้าง จำกัด และ บริษัท ป.รวีกนก ก่อสร้าง จำกัด ซึ่งมี นายประวีณ จันทร์คล้าย หรือ กำนันนก ที่ถูกกล่าวหา เป็นผู้ทรงอิทธิพล ใน จ.นครปฐม เป็นผู้ชนะการประมูลเข้าทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 - 2566 กว่า 1,500 โครงการ ความเสียหายหลายพันล้านบาท
โดยเชื่อว่ามีการตกลงร่วมกันในการเสนอราคาเพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ โดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมหรือโดยการกีดกันมิให้มีการเสนอสินค้าหรือบริการอื่นต่อหน่วยงานของรัฐ หรือโดยการเอาเปรียบแก่หน่วยงานของรัฐอันมิใช่เป็นไปในทางการประกอบธุรกิจปกติอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542
และอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษได้มีคำสั่งให้กรณีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ ตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1)(ง (คดีความผิดทางอาญาที่มีผู้ทรงอิทธิพลที่สําคัญเป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุน) โดยคดีดังกล่าวมีพนักงานอัยการ สำนักการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุดเข้าร่วมทำการสอบสวนกับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษตั้งแต่เริ่มการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้วสามารถดำเนินคดีกับขบวนการที่จัดฮั๊วประมูลในโครงการประมูลด้วยวิธีประกวดราคาทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) ที่ทำให้รัฐเกิดความเสียหายจำนวนมาก
อ่านข่าว : เปิดอาณาจักร "กำนันนก" ทายาทรับเหมารายใหญ่นครปฐม
วันนี้ (9 ม.ค.2568) พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มอบหมายให้ ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ร.ต.อ.สุรวุฒิ รังไสย์ ผู้อำนวยการกองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ นายศุภภางกูร พิชิตกุล รองผู้อำนวยการฯ นายวิโรจน์ ทูคำมี รองผู้อำนวยการฯ นายโยธิน ธรรมสุรีย์ ผู้อำนวยการ
ส่วนคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ 1 นางภัทรพร วิจิตรทัศนา ผู้อำนวยการส่วนคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ 2 และนายนรา จันทร์พ่วง ผู้อำนวยการส่วนอำนวยการคดี นำสำนวนการสอบสวนคดีพิเศษกรณีดังกล่าว จำนวน 48 แฟ้ม รวม 18,433 แผ่น พร้อมความเห็นให้ฟ้องผู้ต้องหา 41 ราย ส่งพนักงานอัยการ สำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต
โดยอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มีความเห็นควรสั่งฟ้องผู้ต้องหาในข้อหา "ตกลงร่วมกันในการเสนอราคา เพื่อวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐโดยหลีกเลี่ยงการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม หรือโดยการกีดกันมิให้มีการเสนอสินค้า หรือบริการอื่นต่อหน่วยงานของรัฐ หรือโดยการเอาเปรียบแก่หน่วยงานของรัฐอันมิใช่เป็นไป ในทางการประกอบธุรกิจปกติ ร่วมกันเป็นธุระในการชักชวนให้ผู้อื่นร่วมตกลงกันในการเสนอราคา ร่วมกันให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้เงิน หรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ผู้อื่น เพื่อประโยชน์ในการเสนอราคา โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะจูงใจให้ผู้นั้น ร่วมดำเนินการใด ๆ อันเป็นการให้ประโยชน์แก่ผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ หรือเพื่อจูงใจ ให้ผู้นั้นไม่เข้าร่วมในการเสนอราคาหรือถอนการเสนอราคา เรียก รับหรือยอมจะรับเงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด" ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 4 และมาตรา 5 ประกอบกับประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ซึ่งในวันนี้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้ส่งสำนวนการสอบสวนดังกล่าวพร้อมกับตัวผู้ต้องหา จำนวน 40 ราย ให้พนักงานอัยการ ยกเว้นกำนันนกที่อยู่ระหว่างถูกคุมขังที่เรือนจําพิเศษกรุงเทพมหานคร ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อ 3694/2566 ของศาลอาญา และคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท 206/2566 ของศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง
อ่านข่าว : ตร.เร่งตามจับ 3 ผู้ก่อเหตุวิ่งราวทรัพย์คนจีน 5 ล้าน ย่านห้วยขวาง
ของขวัญปีใหม่! "พญาแร้งมิ่ง" ออกไข่ใบที่ 2 กลางป่าห้วยขาแข้ง
สพฉ. แจ้งความ "อาสาชุดแดง" นำส่งผู้ป่วยไกลจุดเกิดเหตุ
วันนี้ (9 ม.ค.2568) เวลาประมาณ 15.55 น. ตำรวจได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุ 191 ว่า มีผู้เสียหายชาวจีน 1 คน ถูกชาย 3 คน วิ่งราวทรัพย์เป็นเงิน 5 ล้านบาท
การสอบถามเบื้องต้น ผู้เสียหายได้นัดแลกเงินเปลี่ยนเป็นเหรียญคริปโต โดยได้นำเงินสด 5 ล้านบาท ใส่กระเป๋าสีดำมาให้ผู้ก่อเหตุที่บ้านหลังหนึ่ง ภายในซอยประชาราษฎร์บำเพ็ญ 12 เขตห้วยขวาง โดยได้วางกระเป๋าเงินลงบนโต๊ะ จากนั้นกลุ่มผู้ก่อเหตุได้นำกระเป๋าเงินดังกล่าวหลบหนีขึ้นรถตู้สีขาว ป้ายทะเบียน กทม. มุ่งหน้าอโศก ซึ่งผู้เสียหายได้นั่งรถจักรยานยนต์รับจ้างติดตามไป แต่ไม่ทัน จึงเข้าแจ้งความที่ สน.ห้วยขวาง
พ.ต.อ.ประสพโชค เอี่ยมพินิจ ผกก.สน.ห้วยขวาง เปิดเผยว่า เหตุเกิดขึ้นภายในร้านรับส่งพัสดุแห่งหนึ่ง ภายในซอยประชาราษฎร์บำเพ็ญ 12 โดยเป็นเหตุวิ่งราวทรัพย์ที่ผู้เสียหายนำเงินสดมาแลกเป็นเหรียญคริปโต โดยระหว่างการเจรจา ฝั่งผู้ก่อเหตุแจ้งว่าได้โอนเงินเข้าไปยังบัญชีผู้เสียหายแล้ว แต่ผู้เสียหายตรวจสอบกลับพบว่าไม่มีเงินคริปโตโอนเข้ามา จึงเกิดเหตุทะเลาะกัน จากนั้นกลุ่มผู้ก่อเหตุจึงนำเงินสดดังกล่าวไป
เบื้องต้นตำรวจพบว่าภายในกระเป๋าเงินสดที่ผู้ก่อเหตุนำไปนั้น ผู้เสียหายใส่โทรศัพท์มือถือไว้ โดยระบุจีพีเอสล่าสุด พิกัดอยู่ที่สวนสุขภาพแต้จิ๋ว ซอยเจริญราษฏร์ 3 เขตยานนาวา
ขณะที่ วินจักรยานยนต์ นายทวี หัวดอน รถจักรยานยนต์รับจ้าง ที่ขับพาผู้เสียหายไล่ตามรถตู้ของผู้ก่อเหตุ เปิดเผยว่า ขณะที่กำลังรอรับลูกค้าอยู่ที่ปากซอยประชาราษฎร์บำเพ็ญ 12 ผู้เสียหายได้วิ่งมาขอความช่วยเหลือให้ขับตามรถตู้สีขาว และได้ขับไล่ตามไปจนถึงแยก พระราม 9
จากนั้นผู้เสียหายได้ลงจากรถไปขวางทางรถตู้ไว้แต่ไม่เป็นผล รถตู้คันดังกล่าวยังหลบหนีไปได้ จากนั้นตำรวจซึ่งประจำอยู่บริเวณนั้นได้วิทยุประสานให้ช่วยสกัดจากก่อนที่ผู้เสียหายจะเข้าแจ้งความที่ สน.ห้วยขวาง
อ่านข่าว : ตร.เผยคนไทยกว่าร้อยคน ทำงานในตึก 18 ชั้น ฝั่งปอยเปต
ภรรยา "ลิม กิมยา" เข้าให้ปากคำตำรวจ
จับขบวนการคอลเซนเตอร์ ขับรถใช้อุปกรณ์ปล่อยสัญญาณ ส่งลิงก์ SMS ปลอม
ความคืบหน้ากรณีปรากฏคลิปชายไทยตกจากตึกสูง 18 ชั้น ในฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา
ล่าสุด วันนี้ (9 ม.ค.2568) พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปราม การค้ามนุษย์และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า
ขณะนี้ยังไม่ทราบรายละเอียดที่ชัดเจนเกี่ยวกับสาเหตุของการตกตึกซึ่งอยู่ระหว่างตรวจสอบ แต่จากข้อมูลที่มีพบว่า ตึกดังกล่าวเป็นที่ตั้งของแก๊งคอลเซนเตอร์ จึงเชื่อได้ว่า ผู้ที่เข้าไปทำงานภายในตึกนั้นอาจเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซนเตอร์
ในช่วงที่ผ่านมาสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เร่งดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมแก๊งคอลเซนเตอร์ ซึ่งตนเองได้ลงพื้นที่ไปตามแนวชายแดน จนพบว่ามีผู้ทำหน้าที่ส่งสัญญาณไปให้อาคารดังกล่าว เบื้องต้นได้สั่งให้ดำเนินการตัดสัญญาณแล้ว
อีกทั้งเมื่อวานที่ผ่านมา (8 ม.ค.2568) พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผบช.ภ.2 ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 จับกุมขบวนการที่ลักลอบพาคนข้ามไปประเทศกัมพูชา โดยใช้ช่องทางธรรมชาติ ซึ่งขบวนการนี้จะส่งคนเข้าไปทำงานที่ตึก 18 ชั้น จากข้อมูลพบว่า มีคนไทยทำงานอยู่ในตึกนี้ไม่น้อยกว่าร้อยคน
อ่านข่าว : เร่งสอบปมเพจดังชี้ "คนไทย" ตกตึกชั้น 18 ในปอยเปต
ตร.เร่งคลายปม เหตุ "คนกาญจนบุรี" ตกตึก 18 ชั้นในปอยเปต
เร่งช่วยคนไทยนับร้อยจากฝั่งปอยเปต หลัง 9 ชีวิตปีนรั้วหนีตาย
วันนี้ (9 ม.ค.2568) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ผบช.สอท. เปิดเผยถึงกรณีที่มีชายไทยตกจากตึกสูง 18 ชั้น ในฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา ว่าจากข้อมูลเบื้องต้นทราบว่าชายคนดังกล่าว เป็นชาว จ.กาญจนบุรี
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งจากนี้ต้องสืบสวนว่า ชายรายดังกล่าวเข้าไปทำงานเป็นคอลเซนเตอร์ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน โดยการถูกล่อลวงหรือเต็มใจ ขณะเดียวกันได้มอบหมายให้ตำรวจไซเบอร์ในพื้นที่ ทำการสืบสวนเชิงลึก ว่า กลุ่มขบวนการขบวนการคอลเซนเตอร์ที่อยู่ในตึกหลังดังกล่าว มีพฤติการณ์หลอกลวงผู้เสียหายให้เข้าไปทำงานแบบใด
พล.ต.ท.ไตรรงค์ ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่มีฐานข้อมูลเชิงลึก ตึกทั้ง 2 แห่งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามชายแดน จ.สระแก้ว เนื่องจาก ที่ผ่านมาได้มีการบุกเข้าไปจับกุม ช่วยเหลือผู้ต้องหาและผู้เสียหาย รวมไปถึงการออกหมายจับกลุ่มขบวนการคอลเซนเตอร์ ที่อยู่ในตึก ทั้ง 2 แห่งมาแล้ว ซึ่งการกวาดล้างจับกุมก็ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีกับทางการประเทศเพื่อนบ้าน
ส่วนกรณีที่สังคมตั้งข้อสังเกตว่า ตำรวจมีข้อมูลอยู่แล้วว่ามีกระบวนการแก๊งคอลเซนเตอร์ เหตุใดจึงไม่เข้าไปช่วยเหลือและดำเนินการ ทำได้แค่จับกุมหรือช่วยเหลือบางคนตามที่เป็นข่าว โดย ผบช.สอท. ระบุว่าแม้ตำรวจไซเบอร์จะมีข้อมูลอยู่แล้ว แต่การช่วยเหลือ ต้องดูเป็นกรณีไป เพราะบางคนเต็มใจที่จะเข้าไปทำ บางคนก็ถูกหลอก พร้อมยกตัวอย่าง ที่ทางการเมียนมาปล่อยตัวคนไทย 150 คนเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ซึ่งทั้ง 150 คน ล้วนเต็มใจเข้าไปทำงานกับขบวนการคอลเซนเตอร์
อ่านข่าว : เร่งสอบปมเพจดังชี้ "คนไทย" ตกตึกชั้น 18 ในปอยเปต
ความคืบหน้ากรณีที่นายลิม กิมยา อดีต สส.พรรคกู้ชาติกัมพูชา (CNRP) ถูกยิงเสียชีวิตในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 7 ม.ค.ที่ผ่านมา
ล่าสุด วันนี้ (9 ม.ค.2568) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภรรยาชาวฝรั่งเศสของนายลิม กิมยา พร้อมญาติอีก 2 คน เดินทางมายัง สน.ชนะสงคราม เพื่อเข้าให้ข้อมูลกับพนักงานสอบสวน และติดต่อเกี่ยวกับกระบวนการรับร่างผู้เสียชีวิต ก่อนเดินออกจาก สน.ชนะสงคราม ไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยไปที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาล เพื่อดูศพนายลิม กิมยา
พ.ต.อ.สนอง แสงมณี ผู้กำกับการ สน.ชนะสงคราม เปิดเผยว่า ภายหลังจากเข้าดูร่างของนายลิม กิมยา ภรรยาและญาติจะเดินทางไปที่สถานกงสุล เพื่อดำเนินการติดต่อทำเอกสารขอรับร่างกลับไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
ในคดีนี้คำให้การของภรรยา ซึ่งเป็นหลักฐานในคดีตำรวจได้ยื่นศาลอาญาขอนัดสืบพยานล่วงหน้า เนื่องจากภรรยาจะต้องเดินทางกลับประเทศฝรั่งเศสก่อน โดยการสืบพยานล่วงหน้า ต้องรอให้ศาลนัดสืบพยานมาก่อน เบื้องต้นคาดว่าจะนัดภายในสัปดาห์หน้า
มีรายงานเพิ่มเติมว่า ทางพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม จะเชิญตัวตำรวจ 1 นาย พลเรือนอีก 1 คน ที่พบว่า นายเอกลักษณ์ แพน้อย หรือ "เอ็ม อดีตทหารเรือ" นำปืนไปจำนำกับตำรวจนายดังกล่าว และมีผู้ไปไถ่ปืนออกมาให้นายเอกลักษณ์นำมาใช้ก่อเหตุ มาสอบปากคำเพิ่มเติมว่าเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุหรือไม่ รวมถึง การกระทำความผิดในข้อหาอื่น ๆ
อ่านข่าว : แอมเนสตี้ฯ ขอไทยสืบสวนคดีสังหาร "ลิม กิมยา" อย่างโปร่งใส - เป็นกลาง
นักเคลื่อนไหวต่างชาติ ใครบ้าง "สูญหาย" ในไทย
จับแล้ว "เอ็ม" มือยิง "ลิม กิมยา" ที่พระตะบอง
วันนี้ (9 ม.ค.2568) น.ส.สุปราณี สถิตชัยเจริญ ผู้อำนวยการกองความร่วมมือและพัฒนามาตรฐาน ในฐานะรองโฆษกประจำสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. เปิดเผยกรณีที่ก่อนหน้านี้ ปปง. ออกคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์สินของผู้ต้องหาทั้ง 18 คน ในคดีที่เกี่ยวข้องกับบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด
แต่ต่อมาพนักงานอัยการคดีพิเศษ มีคำสั่งไม่ฟ้อง น.ส.พีชญา และนายยุรนันท์ 2 ผู้ต้องหา ว่า กรณีนี้ ต้องแบ่งเป็น 2 กรณี คือ คดีอาญาและคดีแพ่ง ซึ่งพนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องคดีอาญา ส่วนคดีแพ่งเกี่ยวกับทรัพย์สิน จะแยกจากกัน และไม่ตัดสิทธิ์บุคคลที่เคยถูกดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สิน ซึ่งบุคคลสามารถยื่นคำร้องโต้แย้งทรัพย์ในชั้นศาลแพ่งได้ และส่วนนี่จะต้องมีการพิสูจน์ทราบกันข้อเท็จจริงอีกครั้ง
โดยกระบวนการของ ปปง. สิ้นสุดการยึดและอายัดทรัพย์เสร็จสิ้นแล้ว และได้ส่งสำนวนรายการทรัพย์สินไปให้พนักงานอัยการ เพื่อให้พนักงานอัยการเสนอ ขอให้ศาลมีคำสั่งชดใช้เฉลี่ยคืนแล้ว
หากโต้แย้งเรื่องการยึดอายัดทรัพย์ ทั้งคู่ก็ต้องไปดำเนินการต่อในชั้นศาลแพ่ง โดย มิน และแซม ต้องแย้งกับศาลแพ่งว่าทรัพย์ไม่ได้มาจากการกระทำผิด หรือเชื่อมโยงกับธุรกิจดิไอคอนกรุ๊ป
รองโฆษก ปปง.กล่างต่อว่า ปปง. ยึดอายัดทรัพย์สินของกลุ่มผู้ถูกกล่าวหาและผู้ต้องหาตามกรอบกฎหมาย เพราะมาตรการปราบปรามการฟอกเงิน เป็นตามหลักสากล เพื่อดำเนินการยึดอายัดทรัพย์ไว้ก่อน ป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายรุนแรงมากกว่านี้
รวมถึงผลักภาระการพิสูจน์ไปให้ที่คนเป็นเจ้าของทรัพย์มาชี้แจงว่า ทรัพย์ไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอย่างไร ซึ่งต่างจากกระบวนการทางอาญา เพราะคดีอาญา เจ้าหน้าที่จะต้องพิสูจน์ แต่มาตรการยึดทรัพย์ทางแพ่ง เป็นตามกฎหมายฟอกเงิน
เช่นที่ผ่านมา หลายคดีพบว่าผู้ต้องหาและผู้ถูกกล่าวหา ไม่ได้กระทำผิดทางอาญา แต่เกี่ยวข้องกับทรัพย์ที่ได้มาจากกระทำความผิด เช่น คดียาเสพติด มีคนได้รับทรัพย์จากคดียาเสพติดและถูกตามยึดอายัดทรัพย์ แต่ไม่ได้ถูกสั่งฟ้องเรื่องการค้ายา ปปง.จึงต้องยึดทรัพย์เพื่อตัดวงจรอาชญากรรมไม่ให้มีท่อน้ำเลี้ยงดำเนินการทางการเงินได้
ซึ่งตามหลักการกฎหมายฟอกเงิน ผู้เสียหายที่ประสงค์จะเข้ารับการคุ้มครองสิทธิผู้เสียหาย สามารถยื่นคำร้องมาได้ แต่ต้องแสดงหลักฐานตนให้ชัดเจน เช่น บัตรประจำตัวประชาชน หรือกรณีมอบบุคคลอื่นมาก็ต้องมีใบมอบอำนาจ พยานหลักฐานเส้นทางการเงินว่ามีความเสียหายจำนวนเท่าไร เอกสารการแจ้งความ หรือพฤติการณ์ทางคดีว่าเกิดความเสียหาย เพื่อยืนยันเป็นผู้เสียหาย และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด
อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนการตรวจสอบค่อนข้างยุ่งยาก เนื่องจากคดีดิไอคอนฯ มีความเสียหายเป็นวงกว้าง และข้อมูลพยานหลักฐานค่อนข้างมาก จึงต้องใช้เวลารวบรวมข้อมูล โดยสามารถยื่นคำร้องขอคุ้มครองสิทธิ์ผู้เสียหายได้จนถึงวันที่ 17 ก.พ.2568
สำหรับรายคดีของบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ปจำกัด กับพวก ปปง. มีมติให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ตามคำสั่งที่ ย.214/2567 ย. 222/2567 ย.223/2567 ย.224/2567 และ ย.225/2567 รวมจำนวน 103 รายการ มูลค่าประมาณ 286 ล้านบาท และมีมติให้เพิกถอนการยึดอายัดทรัพย์สิน 40 รายการ มูลค่า 29 ล้านบาท เนื่องจากได้มีผู้มีส่วนได้เสียสามารถแสดงหลักฐานว่า เงินหรือทรัพย์สินที่ถูกดำเนินการ ไม่ใช่ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด เพราะชี้แจงได้ว่า เป็นทรัพย์ที่ได้มาก่อนจะเข้ามาในกระบวนการของบริษัทฯ
อ่านข่าว : "ชัชชาติ" ชี้กทม.จมฝุ่นถึง 13 ม.ค.นี้ อากาศปิด-เผาพื้นที่เกษตร
ตร.เร่งขอตัว "จ่าเอ็ม" มือยิง "ลิม กิมยา" กลับไทยคาดไม่เกิน 1 เดือน
จับขบวนการคอลเซนเตอร์ ขับรถใช้อุปกรณ์ปล่อยสัญญาณ ส่งลิงก์ SMS ปลอม
วันนี้ (9 ม.ค.2568) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) เข้าตรวจสอบรถยนต์ซึ่งมีการติดตั้งเครื่องส่งสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ที่จอดอยู่ในลานจอดรถหอพักแห่งหนึ่งในซอยนวลจันทร์ 60 แขวงนวลจันทร์ เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร อีกทั้งยังมีการจับกุมผู้ต้องหาเป็นชายชาวจีน 2 คน ซึ่งพักอยู่ในหอพักดังกล่าว พร้อมของกลาง ซิมการ์ด โทรศัพท์มือถือ และสมุดบัญชีธนาคารจำนวนหนึ่ง
พล.ต.ท.ไตรรงค์ เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ได้มีการสืบสวนจนทราบว่ามีเครือข่ายคอลเซนเตอร์ได้ใช้ False base station หรือ เครื่องจำลองสถานีฐานติดตั้งบนรถยนต์ แล้วขับไปยังสถานที่ชุมชนย่านการค้า เช่น เอเชียทีค และย่านห้วยขวาง เพื่อส่งสัญญาณในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งสามารถกระจายสัญญาณได้เป็นรัศมีถึง 1- 3 กิโลเมตร โดยจะเป็นการลดสัญญาณของเสาเบสโทรศัพท์ในพื้นที่ เพื่อเปิดช่องให้ขบวนการคอลเซนเตอร์ อีกชุดส่งข้อความลิงค์ไปยังโทรศัพท์มือถือของประชาชนเพื่อหลอกลวงโดยให้กดลิงค์ ซึ่งเครื่องส่งสัญญาณดังกล่าวสามารถส่งเข้าไปยังโทรศัพท์มือถือได้กว่า 30,000 หมายเลข
ส่วนผู้ต้องหาชาวจีน 2 คน ที่จับกุมได้นั้น พบว่าเดินทางเข้าประเทศไทยมาเมื่อกลางเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา อ้างว่ามาทำงานเป็นไกด์ทัวร์ และปฏิเสธว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการร่วมก่อเหตุ โดยอ้างว่าขอยืมรถจากเพื่อนไปใช้ในระหว่างที่ทำงานอยู่ในเมืองไทย นอกจากทั้ง 2 คน ยังมีผู้ร่วมขบวนการเป็นชายชาวจีนอีก 1 คน ที่ยังหลบหนี ซึ่งเป็นผู้ที่มาเช่าห้องพักในหอพักดังกล่าว ตำรวจอยู่ระหว่างการขยายผล
ด้านนายวิสิฐศักดิ์ เจริญไชย ตัวแทนจากบริษัทค่ายโทรศัพท์มือถือ เปิดเผยว่า ปัจจุบันทางบริษัทรวมถึงค่ายโทรศัพท์มือถืออื่นนั้นจะไม่มีการส่งข้อความในลักษณะที่เป็นลิงค์ให้ลูกค้ากดเข้าไปแล้ว และจะมีแต่ขบวนการคอลเซนเตอร์เท่านั้นที่ใช้วิธีการนี้เพื่อเข้าถึงเหยื่อ จึงฝากเตือนประชาชนว่าหากมีการส่งลิงค์เข้าไปในโทรศัพท์มือถืออย่ากดเข้าไปเด็ดขาดเพราะอาจตกเป็นเหยื่อของกลุ่มคอลเซนเตอร์ได้
อ่านข่าว : สำเร็จ ย้าย "พลายเดี่ยวขวา" คืนป่าเขาอ่างฤาไน
ออสการ์เลื่อน! ไฟป่าแคลิฟอร์เนียโหมกระหน่ำคร่าชีวิตแล้ว 5 คน
สัตวแพทย์-จนท.ช่วย "เสือโคร่ง" ขาบาดเจ็บติดบ่วงดักสัตว์
วันนี้ (9 ม.ค.2568) แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย เผยแพร่บทความ ถึงกรณีที่นายลิม กิมยา อดีต สส.พรรคกู้ชาติกัมพูชา (CNRP) ถูกยิงเสียชีวิตในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 7 ม.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่า
จากกรณีเกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญในประเทศไทย เมื่อวันที่ 7 ม.ค.2568 ที่ผ่านมา นายลิม กิมยา อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคกู้ชาติกัมพูชา (Cambodia National Rescue Party-CNRP) ซึ่งเป็นฝ่ายค้านของกัมพูชา และมีสัญชาติกัมพูชา-ฝรั่งเศส ถูกยิงเสียชีวิตบริเวณเกาะกลางถนน ตรงข้ามวัดบวรนิเวศวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร โดยผู้ก่อเหตุซึ่งเป็นชายชาวไทย ได้หลบหนีออกนอกประเทศ หลังการก่อเหตุ แต่ล่าสุดเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยได้แล้วในประเทศกัมพูชา
เคท ชูเอตเซ รักษาการรองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยประจำภูมิภาคของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า การเสียชีวิตของนายลิม กิมยา ถือเป็นเหตุการณ์ที่น่าหวาดหวั่น โดยเฉพาะเมื่อมองในบริบทที่เขาเป็นนักการเมืองฝ่ายค้านซึ่งเคยวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลกัมพูชา
นี่เป็นการสังหารโดยมิชอบด้วยกฎหมาย แม้ว่ายังไม่มีความชัดเจนว่า การเสียชีวิตของนายลิม กิมยา อดีต สส.พรรคฝ่ายค้าน เกี่ยวข้องกับเหตุผลทางการเมืองในกัมพูชาโดยตรงหรือไม่ แต่การสังหารนี้เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่ทางการกัมพูชายังคงมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง โดยใช้วิธีปิดกั้นและคุกคามเสียงของพรรคฝ่ายค้าน ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงในประเทศไทย
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ขอให้ทางการไทยดำเนินการสืบสวนสอบสวนเหตุการณ์นี้อย่างเร่งด่วน โปร่งใส รอบด้าน และเป็นกลาง เพื่อเปิดเผยข้อเท็จจริง และนำตัวผู้กระทำความผิดเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม โดยต้องไม่ใช้โทษประหารชีวิต ทั้งยังเน้นย้ำให้รัฐบาลไทยเคารพพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ
รวมถึงการรับรองความปลอดภัยของบุคคลทุกคนที่อยู่ในประเทศไทย โดยเฉพาะผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลกัมพูชา โดยเหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนความสำคัญของการปกป้องสิทธิมนุษยชนในระดับภูมิภาค และเน้นย้ำว่าความยุติธรรมและความโปร่งใสในกระบวนการยุติธรรมเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างความเชื่อมั่นในระบบกฎหมายและการคุ้มครองสิทธิของทุกคน
ข้อมูลพื้นฐาน
ตามรายงานของสื่อ นายลิม กิมยา อดีตสมาชิกรัฐสภาฝ่ายค้านสัญชาติกัมพูชา-ฝรั่งเศส ถูกมือปืนยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2568 เหตุเกิดขึ้นหลังจากที่นายลิมเดินทางจากเมืองเสียมเรียบในกัมพูชามาถึงกรุงเทพฯ ด้วยรถบัส พร้อมภรรยาและลุงของเขา ทางการไทยได้ออกหมายจับผู้ต้องสงสัยซึ่งเป็นอดีตทหารนาวิกโยธินไทย ฐานก่อเหตุสังหารดังกล่าว
นายลิม กิมยา เคยได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกรัฐสภาฝ่ายค้านของพรรคกู้ชาติกัมพูชา (CNRP) ในปี 2556 และยังคงอาศัยอยู่ในกัมพูชาหลังจากที่พรรคถูกสั่งยุติการดำเนินงานในปี 2560
สมาชิกพรรคกู้ชาติกัมพูชา รวมถึงผู้สนับสนุนพรรคการเมืองฝ่ายค้านอื่น ๆ ที่ถูกสั่งยุติการดำเนินงาน ต้องเผชิญกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนทั้งในและนอกประเทศ โดยมีหลายคนถูกจับกุมและจำคุก ก่อนการเลือกตั้งทั่วไปในกัมพูชาเมื่อปี 2566 พบว่าฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของพรรครัฐบาลต้องเผชิญกับการคุกคาม ข่มขู่ การทำร้ายร่างกาย และการจำคุก ตัวอย่างเช่น นักกิจกรรมของพรรคการเมืองถูกทำร้ายด้วยกระบองเหล็กในที่สาธารณะ และในปี 2564 มีนักกิจกรรมคนหนึ่งถูกแทงจนเสียชีวิต ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่าเป็นการโจมตีที่มีเป้าหมาย
นักกิจกรรมชาวกัมพูชาที่ลี้ภัยในประเทศไทยก็ไม่พ้นการถูกคุกคาม รวมถึงการเฝ้าติดตาม ข่มขู่ และบังคับส่งตัวกลับประเทศโดยทางการไทย เหตุการณ์ล่าสุดเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2567 มีผู้ลี้ภัยผู้ใหญ่ 6 คน และเด็กอายุ 5 ขวบ 1 คน ถูกส่งตัวกลับกัมพูชาโดยใช้กำลัง ซึ่งสร้างความกังวลต่อมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนในภูมิภาค
ในประเทศไทย เวียดนาม กัมพูชา และลาว บุคคลสำคัญฝ่ายค้าน นักกิจกรรม และนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่พยายามลี้ภัยต้องเผชิญกับความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการลักพาตัว การบังคับให้สูญหาย การสังหาร หรือการส่งตัวกลับไปยังประเทศที่พวกเขาอาจถูกประหัตประหารและเผชิญการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ร้ายแรง
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล และองค์กรภาคประชาสังคม ได้เรียกร้องให้รัฐบาลในภูมิภาคและประชาคมระหว่างประเทศดำเนินการยุติการปราบปรามข้ามชาติที่เพิ่มมากขึ้น พร้อมทั้งชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของรัฐบาลไทยและกัมพูชาในการปฏิบัติตามพันธกรณีตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการดำเนินการสอบสวนเหตุการณ์ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน โปร่งใส ไม่ลำเอียง และเป็นอิสระ รวมถึงนำผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต
อ่านข่าว : ตร.เร่งขอตัว "จ่าเอ็ม" มือยิง "ลิม กิมยา" กลับไทยคาดไม่เกิน 1 เดือน
เร่งตรวจสอบเส้นทางหนี มือยิงอดีต สส.กัมพูชา พบ จยย.จอดทิ้งปั๊ม
นักเคลื่อนไหวต่างชาติ ใครบ้าง "สูญหาย" ในไทย
วันที่ 9 ม.ค.2568 เวลา 11.30 น. พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท., พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท. และ พล.ต.ต.ชูศักดิ์ ขนาดนิด ผบก.ตอท. พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าวปฏิบัติการ Child Shield รวบแรงงานเมียนมา พรากเด็ก 10 ขวบไปกระทำชำเราและถ่ายคลิป
คดีนี้กลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต (บก.ตอท.) ได้รับแจ้งเบาะแสจากโครงการฮัก (Hug Project) ซึ่งเป็น NGOs ดำเนินงานในด้านการป้องกัน คุ้มครอง และฟื้นฟูเยียวยาเด็กจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศและการค้ามนุษย์ ว่า พบการกระทำความผิดเกี่ยวกับการนำเด็กมากระทำอนาจาร และบันทึกวีดิโอแล้วมาเผยแพร่ในกลุ่มลับ โดยผู้เสียหายเป็นเด็กชายอายุ 10 ขวบ
จากการสืบสวน พบว่า ผู้เสียหายมี 2 คน เป็นเด็กอายุ 10 ปี และ 13 ปี เป็นบุคคลไร้สัญชาติ มีภูมิลำเนาอยู่ จ.เชียงใหม่ ส่วนผู้ก่อเหตุเป็นแรงงานสัญชาติเมียนมา อายุ 27 ปี ทำงานอยู่ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ เช่นกัน ตรวจสอบกลุ่มลับที่ถูกนำเผยแพร่ มีการเก็บเงินเพื่อเข้ากลุ่มลับ และมีการนำเด็กผู้เสียหายมากระทำอนาจาร โดยบันทึกวีดีโอก่อนเผยแพร่ รวมถึงถ่ายทอดสดขณะกระทำอนาจารเด็กให้คนในกลุ่มชม
ทั้งนี้ ตอท.ได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และประสาน บก.สอท.4 ซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบ เพื่อให้พนักงานสอบสวนเพื่อขอศาลจังหวัดเชียงใหม่อนุมัติหมายจับ ในข้อหากระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี ซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม, ครอบครองสื่อลามกอนาจารเด็ก ส่งต่อสื่อลามกอนาจารเด็ก รวมถึงเพื่อประสงค์การค้าสื่อลามกอนาจารเด็ก
กระทั่งเมื่อวันที่ 8 ม.ค.2568 พ.ต.อ.รุ่งเลิศ คันธจันทร์ ผกก.กลุ่มงานต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กทางอินเทอร์เน็ต (บก.ตอท.) พร้อม พ.ต.ท.วิเชียร คำชุมภู, พ.ต.ท.ณัฐพงค์ เผือกเนียม สว.ฯ และเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ได้มาตรวจสอบบริเวณถนนเชียงใหม่-ฮอด หมายเลข 108 ต.ยุหว่า อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ ที่ได้สืบสวนทราบว่าผู้ต้องหาทำงานอยู่ พบบุคคลมีรูปพรรณสัณฐานคล้ายกับผู้ต้องหา จึงได้แสดงตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้ต้องหารับว่าเป็นบุคคลตามหมายจับและไม่เคยถูกจับตามหมายจับดังกล่าวมาก่อน จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาตามหมายจับดังกล่าว
จากการสอบถามผู้ต้องหาเบื้องต้น ให้การรับสารภาพว่าได้นำเด็กผู้เสียหายมากระทำชำเราที่บ้านพักอาศัย และได้ยินยอมพาเจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจสอบบ้านพัก และจากการตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของกลาง พบว่ามีการลงชื่อเข้าใช้เป็นแอดมินในโซเชียลมีเดียกลุ่มลับ และพบคลิปวีดีโอที่มีลักษณะการกระทำอนาจารกว่า 1,919 คลิป
ทั้งนี้ การคัดแยกผู้เสียหายของทีมสหวิชาชีพ ได้ทำการสัมภาษณ์ผู้เสียหายทั้ง 2 คน มีความเห็นว่า ผู้เสียหายทั้ง 2 คน เป็นผู้เสียหายจากการถูกแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการผลิตและเผยแพร่สื่อลามกอนาจารเด็ก ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ จึงได้แจ้งข้อหาค้ามนุษย์โดยการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการผลิตและเผยแพร่สื่อลามกอนาจารเด็กเพิ่มอีกกระทงหนึ่ง
อ่านข่าว : จเร ตร.เร่งตรวจสอบ กรณี "นายแบบจีน" หายตัวชายแดนคล้าย กรณี "ซิงซิง"
เร่งสอบปมเพจดังชี้คนไทยตกตึกในปอยเปต
ตร.บุกจับเหมืองบิทคอยน์ ลอบใช้ไฟฟ้า เสียหายกว่า 110 ล้าน จ.ชลบุรี
วันนี้ (9 ม.ค.2567) พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว ป้องกันปราบปราม การค้ามนุษย์และภาคประมง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยกรณีสื่อต่างชาติ เผยแพร่ข้อมูลนายแบบชาวจีนชื่อว่า หยาง เจ๋อฉี (Yang Zeqi) หายตัวไปที่บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา โดยเหตุการณ์การหายตัวไปคล้ายกับกรณีของนายซิงซิง ซึ่งทาง
ญาติของนายแบบคนดังกล่าวได้โพสต์ข้อความ ขอความช่วยเหลือบนเหว่ยป๋อ ว่า เบื้องต้นตำรวจอยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว
สำหรับหยาง เจ๋อฉี มีข้อมูลว่า เจ้าตัวได้รับข้อความจาก Wechat แจ้งว่า ตัวเองผ่านคัดเลือกการออดิชั่นในการถ่ายภาพยนตร์ และเดินทางเข้าประเทศไทยด้วยเที่ยวบิน VZ3719 จากสนามบินปักกิ่งต้าชิง เวลา 01.56 น. วันที่ 20 ธ.ค.ตามเวลาปักกิ่ง และเดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิในกรุงเทพฯ เวลา 06.16 น. ตามเวลาท้องถิ่น
ก่อนที่จะนั่งรถออกจากสนามบิน และในเวลา 14.59 น.ตามเวลาปักกิ่ง เจ้าตัวได้เปลี่ยนรถ คันที่ 2 โดยทีมงานอ้างว่าจัดเตรียมไว้ให้ ที่บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา จากนั้นวันที่ 21 ธ.ค.2567 ตามเวลาไทย หยาง เจ๋อฉี ได้ส่งข้อความหาเพื่อนบอกว่า รู้สึกเศร้า และขาดการติดต่อ
ก่อนที่ในวันที่ 29 ธ.ค.2567 หยาง เจ๋อฉี จะได้วิดีโอคอลกับแม่แจ้งว่า ตัวเองปลอดภัย ซึ่งในวิดีโอ หยาง เจ๋อฉี สวมชุดสีดำและนั่งบนเก้าอี้โดยวางมือบนโต๊ะ มีอาการบาดเจ็บที่มุมดวงตา จากนั้นโทรศัพท์ถูกปิดอีกครั้ง และขาดการติดต่อ หลังได้รับวิดีโอและข้อความ ญาติแจ้งความกับตำรวจจีน และติดต่อกับสถานทูตจีนในประเทศไทยและเมียนมาเพื่อขอความช่วยเหลือ
อ่านข่าว : กลุ่มจีนเทาย้ายฐาน "แก๊งค้ามนุษย์" ระบาดหนักทั่ว "อาเซียน"
“ซิงซิง” จิตใจดีขึ้น ตร.ยันเหยื่อค้ามนุษย์คาด 1-2 วันกลับจีน
"ซิงซิง" เหยื่อแคสงานค้ามนุษย์ สู่ปมโซเชียล"เมืองไทยน่ากลัว"
วันนี้ (9 ม.ค.2568) ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ตรวจค้นอาคารที่ตั้งภายใน บ.แห่งหนึ่ง ในพื้นที่ ต.นาวังหิน อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี พบลักลอบติดตั้งอุปกรณ์ขุดบิทคอยน์ ไว้จำนวนมาก
จากการตรวจค้นเจ้าหน้าที่ตรวจยึดอุปกรณ์ต่าง ๆ รวม 996 เครื่อง ขณะตรวจค้นยังมีคอมพิวเตอร์ จำนวน 4 เครื่อง ซึ่งเปิดระบบเชื่อมต่อการใช้งานอยู่ พร้อมมีอุปกรณ์เราเตอร์ซึ่งกำลังเชื่อมต่อการใช้งานอยู่อีก 3 เครื่อง และมิเตอร์ไฟฟ้าซึ่งมีร่องรอยการแก้ไขดัดแปลงเพื่อลักลอบใช้กระแสไฟฟ้า จำนวน 1 เครื่อง
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ยังพบว่า บริษัทดังกล่าว มีพฤติการณ์ในการลักกระแสไฟฟ้ามาแล้วตั้งแต่เดือน มิ.ย.2566 ถึงปัจจุบัน รวมมูลค่าความเสียหายกว่า 110 ล้าน เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าจึงได้แจ้งความร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีกับบริษัท และบุคคลที่เกี่ยวข้อง
ตำรวจ เปิดเผยว่า ทางการสืบสวนพบ บ.ต้องสงสัย ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ จ.ชลบุรี ได้ประกอบกิจการซื้อขายเหรียญสกุลเงินดิจิทัล มีพฤติกรรมการลักลอบใช้ไฟฟ้าโดยวิธีการดัดแปลงแก้ไขมาตรวัดกระแสไฟฟ้า เพื่อลักกระแสไฟฟ้าจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลอาญาออกหหมายค้นเพื่อเข้าตรวจค้นบรัษัทดังกล่าว
อ่านข่าว : "ตร.-การไฟฟ้าฯ" ทลายเหมืองบิทคอยน์ ซุก รง.ร้าง มูลค่ากว่า 17 ล้านบาท
ทำแผน 2 พี่น้องชิงเงิน 3 ล้านบาท อ้างหนี้ท่วม - บิทคอยน์ขาดทุน
"บิทคอยน์" ราคาร่วงต่ำสุดในรอบ 18 เดือน
วันนี้ (9 ม.ค.2568) ความคืบหน้ากรณีการจับกุมนายเอกลักษณ์ แพน้อย หรือ เอ็ม ผู้ต้องหาที่ก่อเหตุยิงนายลิม กิมยา อดีต สส.ฝ่ายค้านกัมพูชา ถูกจับได้ที่เมืองพระตะบอง ประเทศกัมพูชา เมื่อวานนี้ (8 ม.ค.) พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยว่า อยู่ในขั้นตอนทางกฎหมายของทางการกัมพูชา เนื่องจาก นายเอกลักษณ์ เข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย จึงต้องดำเนินคดีที่กัมพูชาก่อน แต่รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลได้ทำหนังสือทางการทูต เพื่อขอให้ส่งตัวคนร้ายมาดำเนินคดีต่อที่ไทยแล้ว ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ถึง 1 เดือน
ส่วนการติดตามตัวนายเอกลักษณ์ เมื่อวานนี้ตำรวจไทยเป็นคนไปประสานงานกับตำรวจกัมพูชา ร่วมมือกันติดตามตัวจนสามารถจับได้ ขณะที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ที่อำเภอพระตะบอง แต่ไม่พบอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุ พบเพียงบัตรประจำตัวประชาชนและบัตรข้าราชการ ซึ่งรายละเอียดยังต้องรอตัวนำกลับมาสอบปากคำ และพบข้อมูลหลบหนีหลังก่อเหตุพบว่า นายเอกลักษณ์ ใช้เส้นทาง จ.ชลบุรี และจันทบุรีเป็นทางผ่าน และมีวิธีหลอกตบตาเจ้าหน้าที่สืบสวน ก่อนจะเดินทางออกทางชายแดน จ.สระแก้ว เข้าไปยังกัมพูชา
สำหรับอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุ ที่มีข้อมูลว่านายเอกลักษณ์ เคยนำปืนไปจำนำไว้กับตำรวจนายหนึ่ง โดยชุดสืบสวนได้เรียกตัวตำรวจนายดังกล่าวมาสอบปากคำแล้ว เบื้องต้นยอมรับว่ารับจำนำปืนไว้จริงแต่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เช่นเดียวกับคนขับแท็กซี่ ที่ปรากฏในภาพวงจรปิดปั๊มแก๊ส ถนนเลียบมอเตอร์เวย์ เขตสวนหลวง ที่นายเอกลักษณ์ได้ขึ้นรถหลบหนีไป ได้เชิญมาสอบปากคำแล้ว ยืนยันว่าถูกนายเอกลักษณ์ว่าจ้างไปส่ง ตามจุดหมายไม่เกี่ยวข้องกับคดี
ส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือให้การสนับสนุน นอกเหนือจากที่ออกหมายจับไปแล้ว 2 คนคือผู้ก่อเหตุ และบุคคลที่ชี้เป้าที่อยู่ระหว่างหลบหนี อยู่ระหว่างประสานตำรวจสากล ขอออกหมายแดง ติดตามตัวมาดำเนินคดีในประเทศไทย ส่วนผู้ร่วมขบวนการคนอื่น ๆ ไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะเกรงว่าจะไหวตัวทัน
อ่านข่าว : ออกหมายจับชายกัมพูชา "คนชี้เป้า" ให้มือยิง "ลิม กิมยา"
ด้านภรรยา และครอบครัว นายลิม กิมยา อดีต สส.ฝ่ายค้าน กัมพูชา ที่ถูกลอบยิงเสียชีวิต เดินทางมาที่สถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม เพื่อเข้าติดต่อกับตำรวจเรื่องของกระบวนการการรับร่างของผู้เสียชีวิต
พ.ต.อ.สนอง แสงมณี ผู้กำกับการ สน.ชนะสงคราม เปิดเผยว่าภรรยาของผู้เสียชีวิตเตรียมเข้าพบตำรวจเพื่อให้พาไปดูศพของผู้เสียชีวิต และเตรียมเอกสารสำหรับการรับศพกลับไปประกอบพิธีทางศาสนา โดยนัดหมายที่ สน.ชนะสงครามวันนี้โดยยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่าจะนำกลับไปที่ประเทศกัมพูชา หรือประเทศฝรั่งเศสเนื่องจากผู้เสียชีวิตเป็นบุคคลทั้งสองทั้งชาติ
อ่านข่าว :
เร่งตรวจสอบเส้นทางหนี มือยิงอดีต สส.กัมพูชา พบ จยย.จอดทิ้งปั๊ม
นักเคลื่อนไหวต่างชาติ ใครบ้าง "สูญหาย" ในไทย
วันนี้ (8 ม.ค.2568) เพจเฟซบุ๊ก "Drama-addict" โพสต์ข้อความระบุว่า คนไทย ตกตึกตาย ที่ตึก 18 ชั้นที่ปอยเปตอีกแล้ว ตึกนี้มีข่าวว่าเป็นที่ตั้งแก๊งคอลเซนเตอร์ มีคนไทยถูกหลอกไปทำงาน และตกตึกตายที่นี่ไม่หยุดเลย
ต่อมาเพจ "Drama-addict" ได้โพสต์คลิปที่เห็นลักษณะคนร่วงลงจากตึก 18 ชั้นที่ปอยเปต โดยระบุว่า ลักษณะเหมือนผู้ตายวิ่งหนีใครมาแล้วพลัดร่วงหรือถูกโยนลงมาตึกนี้ เป็นที่ตั้งของกาสิโน และแก๊งคอลเซนเตอร์ มีคนไทยถูกหลอกไปทำงานที่นี่เยอะมาก และมีข่าวคนไทยตกตึกตายที่นี่ไม่ยั้ง เป็นสิบ ๆ คนแล้ว
ขณะที่หลังจากมีการเผยแพร่คลิปดังกล่าว มีรายงานว่าตำรวจเตรียมเร่งสอบสวนหาข้อมูลแล้ว
จากการตรวจสอบคลิปกล้องวงจรปิด จากทีมงานช่วยเหลือคนไทยในปอยเปต พบว่าเป็นชายไทย อายุ 31 ปี พลัดตกจากชั้น 14 เสียชีวิต ในเมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชา
จากกล้องวงจรปิดจะเห็นว่า ก่อนเกิดเหตุผู้เสียชีวิตเดินอยู่บริเวณทางเดินของห้องพัก โดยมีชาย 1 คนนั่งอยู่บนเก้าอี้ จากการสังเกตคาดว่า มีการพูดคุยอะไรกันบางอย่าง และน่าจะส่งเสียงดังในระดับหนึ่ง กระทั่งชายอีก 2 คน เดินออกจากห้องพักเพื่อออกมาดู
จากนั้นผู้เสียชีวิตได้เดินไปบริเวณริมหน้าต่าง โดยมีชายที่นั่งเก้าอี้เดินตามไป ส่วนชายอีก 2 คนกลับเข้าห้องพัก ก่อนที่ผู้เสียชีวิต จะพลัดตกจากหน้าต่างชั้น 14 ซึ่งระหว่างที่พลัดตก ชายที่นั่งเก้าอี้ โดยมีกล้องวงจรปิดจากอาคารฝั่งตรงข้ามจับภาพไว้ได้
สำหรับตึกที่เกิดเหตุ ลักษณะเป็นตึก 18 ชั้น มีรายงานว่าเป็นที่ตั้งของกาสิโน แก๊งคอลเซนเตอร์ อยู่ใกล้กับตึก 25 ชั้น ที่ถูกตั้งข้อสังเกตก่อนหน้านี้ว่า อาจถูกใช้เป็นฐานปฏิบัติการของ กลุ่มสแกมเมอร์ และมีคนไทยถูกหลอกไปทำงานเป็นจำนวนมาก
เบื้องต้นมีรายงานว่า ญาติของผู้เสียชีวิตทราบเรื่องที่เกิดขึ้น และได้เห็นภาพจากกล้องวงจรปิดขณะเกิดเหตุแล้ว จึงไม่ติดใจเอาความและประสงค์ให้ประกอบ พิธีทางศาสนา ที่ปอยเปต ประเทศกัมพูชา
อ่านข่าวอื่น สิทธิ-หน้าที่ "คู่สมรส" 23 ม.ค. กฎหมายสมรสเท่าเทียมบังคับใช้
ด้านพล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ผบช.สอท.) กล่าวว่า หลังเกิดเหตุได้ประสานข้อมูลกับผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสระแก้ว จากการตรวจสอบทราบว่า ผู้เสียชีวิตเป็นชายชาว จ.กาญจนบุรี โดยอาคาร 18 ชั้น ที่เกิดเหตุพบในระบบฐานข้อมูลของ บช.สอท.ว่ามีความเกี่ยวข้องกับขบวนการคอลเซนเตอร์จริง
โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนเพื่อขยายผลข้อมูลเชิงลึก โดยตำรวจไทยได้ เร่งประสานข้อมูลกับทางการกัมพูชา ส่วนการนำร่างผู้เสียชีวิตกลับมาบำเพ็ญกุศลนั้น ก็ได้ประสานกับตำรวจพื้นที่เพื่ออำนวยความสะดวกแล้ว
อ่านข่าว
แจงปม "มิน-พีชญา"ผมยาววันปล่อยตัว ชี้ไม่ใช่ผู้ต้องขังเด็ดขาด
กรณีการปล่อยตัวนายยุรนันท์ ภมรมนตรี หรือแซม และน.ส.พีชญา วัฒนามนตรี หรือมิน นักแสดงชื่อดัง คดีฉ้อโกงประชาชน และคดีร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน หรือแชร์ลูกโซ่ และข้อหาอื่น ที่เกี่ยวข้องในกรณีบริษัทดิไอคอนกรุ๊ป
วันนี้ (9 ม.ค.2568) นางกนกวรรณ จิ๋วเชื้อพันธุ์ รักษาราชการแทนผู้อำนวยการทัณฑสถานหญิงกลาง ในฐานะรองโฆษกกรมราชทัณฑ์ระบุว่าผู้หญิงไว้ผมยาวได้ แต่ต้องมัดให้เรียบร้อย หรือหากร้อนก็ตัดได้ ซึ่งก่อนหน้านี้คนดังที่เป็นผู้หญิงอาจจะตัดผม แต่ตัดเอง
อ่านข่าว ด่วน! "บอสแซม-บอสมิน" รอดอัยการสั่งไม่ฟ้องคดีดิไอคอน
ส่วนกรณีมิน พีชญา เป็นผู้ต้องขังที่เรียกว่าฝากขัง ไม่ใช่ผู้ต้องขังเด็ดขาด ศาลยังไม่ตัดสิน การดูแลยังมีความแตกต่างจากผู้ต้องขังเด็ดขาด ผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดี ผู้หญิงสามารถไว้ผมยาวได้
ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 19 ต.ค.2567 กรมราชทัณฑ์ เผยแพร่หนังสือชี้แจงข้อมูลการคุมขังผู้ต้องหา 18 คน ของบริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป จำกัด ตามที่ศาลอาญาไม่อนุญาตให้ประกันตัวทั้งหมด เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงควบคุมตัวไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครและทัณฑสถานหญิงกลางนั้น
อ่านข่าว ราชทัณฑ์ ร่อนหนังสือแจงอาการ 18 ผู้ต้องหา ดิไอคอนอยู่ในระเบียบ
ในส่วนการตัดผมของผู้ต้องขังนั้น ผู้ต้องขังชายระหว่างพิจารณาคดี จะต้องตัดผมรองทรงสูงทุกราย ซึ่งจะแตกต่างจากผู้ต้องขังเด็ดขาดชาย ส่วนผู้ต้องขังหญิงระหว่างพิจารณาคดีให้ไว้ผมยาวเลยบ่าได้ แต่ให้รวบผมหรือผูกผมให้เรียบร้อยเพื่อรักษาสุขอนามัยที่ดี
ขณะที่ไทยพีบีเอสตรวจสอบ ระเบียบระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการตัดผมผู้ต้องขัง พ.ศ.2557 พบว่าในข้อ 8 ระบุว่านักโทษเด็ดขาดหญิงให้ไว้ผมยาวไม่เกินต้นคอ หรือหากไว้ผมยาวเกินกว่าต้นคอต้องรวบผม หรือผูกผมให้เรียบร้อยในกรณีมีเหตุที่ไม่อาจจะดำเนินการตามความวรรคหนึ่งได้ ให้เรือนจำแจ้งเหตุผลและความจำเป็น เพื่ออธิบดีพิจารณาสั่งผ่อนผันเป็นกรณีพิเศษ
อ่านข่าว คืนอิสรภาพ "แซม-มิน" ปล่อยตัวพ้นเรือนจำหลังอัยการสั่งไม่ฟ้อง
สำหรับผู้ต้องหาดิไอคอนอีก 16 คนและ 1 นิติบุคคลที่อัยการมีคำสั่งฟ้องได้แก่นายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือพอล นายกันต์ กันตถาวร และบอสในคดีดิไอคอนเช้าวันนี้ กลุ่มผู้ต้องหาดิไอคอน 16 คน ที่อัยการมีความเห็นสั่งฟ้อง ถูกเบิกตัวมาจากเรือนจำ เพื่อมาฟังคำฟ้อง
นายวิฑูรย์ เก่งงาน ทนายความกลุ่มผู้ต้องหาดิไอคอน กล่าวว่า จำเลยทั้ง 16 คน ยังให้การปฏิเสธ และเตรียมทำคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษร โดยจะต้องดูคำฟ้องก่อน และคาดว่าจะมีการยื่นคำให้การในวันที่ศาลนัดสอบคำให้การนัดแรก
นายวิทูรย์ ยังตั้งคำถามไปยังกระบวนการยุติธรรมหลังศาลสั่งไม่ฟ้อง "มิน กับ แซม" ว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ ทั้งนี้ มองว่า การที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง แซม-มิน แสดงว่าไม่มีหลักฐานไปถึง และต่อให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แย้งก็ไม่กังวล
ตอนนี้บอสทั้งหลาย ถูกจับขังยึดทรัพย์ถูกจับและยัดคุก ค้านการประกันตัวปิดทางการต่อสู้ทั้งหมด ซึ่งทุกครั้งที่ไปเยียมบอสแซมก็จะเจอภรรยา ลูกพี่แซม ซึ่งเหมือนกับติดกันทั้งครอบครัว
สำหรับขั้นตอน ทางด้านพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ผู้รับผิดชอบทางคดี หลังอัยการสั่งฟ้องผู้ต้องหาบางคน และยกฟ้องบางคน อัยการจะส่งคำฟ้องและรายละเอียดให้ พนักงานสอบสวน ซึ่งจะมีเวลาอีก 30 วันพิจารณาว่าจะอุทธรณ์หรือไม่
วันนี้ (9 ม.ค.2568) ความคืบหน้าเหตุการณ์สังหารนายลิม กิมยา อดีต สส.ฝ่ายค้านกัมพูชา ในประเทศไทย ล่าสุดพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม ขอศาลอาญาออกหมายจับผู้ต้องสงสัยชี้เป้าฐาน "ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน"
ตำรวจตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด พบชายใส่เสื้อสีขาว สวมหมวกและสะพายกระเป๋า ปรากฏตัวอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุ ซึ่งคาดว่าบุคคลดังกล่าวทำหน้าที่ชี้เป้าให้กับมือปืน ก่อนที่เขาจะเดินทางกลับกัมพูชาทันทีหลังเกิดเหตุ
ผู้ต้องสงสัยคนนี้คือนายคิม สะลินพิส อ้างเป็นนักข่าวกัมพูชา ร่วมเดินทางมากับนายลิม กิมยา และกลุ่มนักท่องเที่ยว 20 คน ซึ่งพบว่าเดินทางโดยรถบัสออกจากกัมพูชา ผ่านด่านคลองลึก แล้วเข้ามายังวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร
อ่านข่าว : จับแล้ว "เอ็ม" มือยิง "ลิม กิมยา" ที่พระตะบอง
ส่วนผู้ลงมือสังหารอดีต สส.ฝ่ายค้านกัมพูชา คือ นายเอกลักษณ์ แพน้อย หรือ จ่าเอ็ม ถูกตำรวจสำเภารูน กัมพูชา ร่วมกับชุดสืบสวนนครบาลข้ามแดน แกะรอยและตามจับกุมได้ขณะหลบหนีที่ จ.พระตะบอง
เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวนายเอกลักษณ์ ไปที่กองบังคับการจังหวัดพระตะบอง ก่อนส่งตัวไปกองบัญชาการความมั่นคงภายใน จ.พนมเปญ เพื่อเตรียมนำตัวกลับมาสอบสวนดำเนินคดีที่ประเทศไทย และขยายผลถึงผู้บงการจ้างวานและผู้ร่วมขบวนการ
สำหรับประวัติของนายเอกลักษณ์ เคยเป็นทหารเรือ มีประสบการณ์ใช้อาวุธและเคยต้องโทษในคดีร้ายแรง นอกจากนี้เขาเคยถูกปลดออกจากราชการเมื่อปี 2566 เนื่องจากขาดงานเกิน 15 วัน
อ่านข่าว
"ผู้ต้องสงสัยชี้เป้า" มือยิง "ลิม กิมยา" ออกนอกประเทศหลังเกิดเหตุ
"ลิม กิมยา" แห่งพรรค CNRP ของกัมพูชา
นักเคลื่อนไหวต่างชาติ ใครบ้าง "สูญหาย" ในไทย