รมว.คมนาคมยืนยันเปิดจอง "บ้านเพื่อคนไทย" 20 ม.ค.นี้

Fri, 10 Jan 2025 07:21:01

เมื่อวันที่ 9 ม.ค.2568 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายก​ฯ และ​ รมว.คมนาคม กล่าวว่า โครงการบ้านเพื่อคนไทยของรัฐบาลที่จะสร้างตามแนวรถไฟฟ้า ซึ่งจะนำร่องใน 4 พื้นที่ ได้แก่ บริเวณ กม.11 (ใกล้สถานีกลางบางซื่อ), สถานีธนบุรี, สถานีเชียงรากน้อย และสถานีเชียงใหม่ โดยเป็นโครงการที่บริษัท เอสอาร์ที แอสเสท จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของการรถไฟแห่งประเทศไทย นำพื้นที่ที่เป็นเขตทางตามแนวรถไฟมาสร้างเป็นที่พักที่อยู่อาศัย

ขณะที่ในวันที่ 17 ม.ค.นี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะตรวจความพร้อมในพื้นที่ กม.11 และเยี่ยมชมบ้านตัวอย่างที่จัดแสดงอยู่ภายในสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ก่อนเปิดให้ประชาชนยื่นแสดงเจตจำนงเข้าร่วมโครงการในวันที่ 20 ม.ค.นี้ ผ่าน 2 ช่องทาง ประกอบด้วย สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ (สถานีกลางบางซื่อ) และเว็บไซต์ www.บ้านเพื่อคนไทย.th

สำหรับคุณสมบัติผู้ที่มีสิทธิจองบ้านเพื่อคนไทย ต้องมีสัญชาติไทย, บรรลุนิติภาวะ, มีรายได้ไม่เกินเดือนละ 50,000 บาท, ไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ในอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างที่อาจใช้พักอาศัยได้ทุกประเภท และไม่เคยได้สิทธิในโครงการบ้านเพื่อคนไทย

ทั้งนี้ จะมีการตรวจสอบคุณสมบัติและสุ่มด้วยวิธี Random ผู้ได้สิทธิ์แล้วดำเนินการตามกระบวนการของธนาคารอาคารสงเคราะห์โดยโครงการบ้านเพื่อคนไทยจะมีทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียม เบื้องต้นที่ กม.11 จะทำเป็นคอนโดมิเนียมขนาด 45 ชั้น

อ่านข่าว

ธปท.สั่ง "ธนาคาร" คืนเงินผู้เสียหายถูกขโมยบัตรเครดิตไปใช้

เช็กสวัสดิการแห่งรัฐ เดือนมกราคม 2568 จ่ายอะไรบ้าง

ตรุษจีนนี้ รัฐบาลแจก 10,000 "กลุ่มผู้สูงวัย" รับเงินผ่านพร้อมเพย์


ธปท.สั่ง "ธนาคาร" คืนเงินผู้เสียหายถูกขโมยบัตรเครดิตไปใช้

Fri, 10 Jan 2025 06:29:00

เมื่อวันที่ 9 ม.ค.2567 น.ส.ดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวภายหลังมีกรณีผู้เสียหายจากการถูกมิจฉาชีพขโมยบัตรเครดิตไปชำระค่าสินค้าและบริการ ว่า ได้สั่งการให้ธนาคารพาณิชย์และผู้ให้บริการบัตรเครดิตเร่งตรวจสอบ ดูแลและชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ลูกค้าทุกคนในกรณีดังกล่าว

กรณีบัตรเครดิต ผู้ถือบัตรจะไม่ต้องชำระเงินและดอกเบี้ยที่เกิดขึ้น ส่วนกรณีบัตรเดบิต ธนาคารจะคืนเงินให้ผู้ถือบัตรตามยอดที่ถูกตัดชำระภายใน 5 วัน นับแต่วันที่มีเหตุอันเชื่อได้ว่าไม่ได้เกิดจากความผิดของผู้ถือบัตร หรือผู้ถือบัตรไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งธนาคารพาณิชย์และผู้ให้บริการบัตรเครดิตจะต้องเข้มงวดปฎิบัติตามแนวทางดังกล่าว

นอกจากนี้ ธปท.กำชับให้ผู้ให้บริการติดตามร้านค้าที่มีความเสี่ยง เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกใช้เป็นช่องทางรับชำระเงินของธุรกิจที่ผิดกฎหมาย ซึ่งผู้ให้บริการต้องมีกระบวนการรู้จักและพิสูจน์ตัวตน เพื่อคัดกรองร้านค้า ประเมินความเสี่ยง รวมทั้งติดตามความเสี่ยงและพฤติกรรมของร้านค้าอย่างต่อเนื่อง โดยต้องยุติการบริการทันทีเมื่อพบร้านค้าที่อาจเข้าข่ายให้บริการที่ไม่ถูกกฎหมาย รวมถึงพิจารณาดำเนินคดีกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องตามความเหมาะสม

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดต่อสอบถาม ขอคำปรึกษาและร้องเรียนปัญหาการใช้บริการทางการเงินได้ที่ BOT contact center 1213

อ่านข่าว

ตร.เผยคนไทยกว่าร้อยคน ทำงานในตึก 18 ชั้น ฝั่งปอยเปต

ใช้โซเชียลฯ เลี้ยงลูก จิตแพทย์เตือนเสี่ยงเหมือนเปิดประตูบ้านทิ้งไว้

ท่องเที่ยวไทยปี68 ส่อเสื่อมมนต์ขลัง ทีทีบี แนะรัฐยกระดับดึงนักเที่ยวกลุ่มใหม่


ท่องเที่ยวไทยปี68 ส่อเสื่อมมนต์ขลัง ทีทีบี แนะรัฐยกระดับดึงนักเที่ยวกลุ่มใหม่

Thu, 9 Jan 2025 16:17:00

วันนี้ (9 ม.ค.2568) ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics วิเคราะห์สถานการณ์การท่องเที่ยวไทยเห็นสัญญาณการฟื้นตัวต่อเนื่องเทียบกับช่วงก่อนเกิดวิกฤตการณ์โควิด-19 แต่เมื่อมองในมุมที่กว้างขึ้น พบว่า ไทยฟื้นตัวได้ช้ากว่ากลุ่มประเทศที่ได้รับความนิยมในการท่องเที่ยวอื่นๆ สัญญาณดังกล่าวอาจสะท้อนถึงไทยเริ่มเสื่อมมนต์ขลังในการดึงดูด มองข้อจำกัดเพื่อยกระดับการท่องเที่ยวไทยให้ยังเป็นทางเลือกลำดับแรกๆ และคุ้มค่าที่จะเที่ยวซ้ำ หรือเป็นตัวเลือกในการพำนักระยะยาว เพื่อความยั่งยืนในอนาคต

ทั้งนี้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวนับเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศโดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เคยสร้างเม็ดเงินให้กับไทยสูงสุดกว่า 1.9 ล้านล้านบาท บนตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 39.92 ล้านคน

โดยนอกจากเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่เข้ามาหมุนเวียนในเศรษฐกิจไทยแล้ว การเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวต่างชาติยังนำมาซึ่งเงินตราต่างประเทศที่เสริมสร้างให้ทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยมีความเข็มแข็งมากขึ้น อีกทั้งในมิติของธุรกิจท่องเที่ยวซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจบริการ เม็ดเงินที่ผู้ประกอบไทยได้รับในรูปแบบของกำไรก็มีส่วนต่างมากกว่ากลุ่มภาคการผลิต

อย่างไรก็ตามจากวิกฤตโควิด-19 ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวหยุดชะงักและกลับมาฟื้นตัวหลังวิกฤตคลี่คลาย โดยในปี 2566 เริ่มเห็นสัญญาณนักท่องเที่ยวต่างชาติฟื้นตัวที่ 71% และในปี 2567 นักท่องเที่ยวต่างชาติยังรักษาการฟื้นตัวได้ต่อเนื่องที่ 89% หรือราว 35.5 ล้านคน

ไทยค่อนข้างฟื้นตัวได้ช้ากว่าประเทศอื่น ๆเมื่อพิจารณาถึงประเทศที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นจำนวนมาก

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี วิเคราะห์อีกว่า แม้สถานการณ์ของนักท่องเที่ยวต่างชาติในไทยดูเหมือนจะฟื้นตัวแต่อาจแฝงไปด้วยความน่ากังวลที่นอกจากในทางเปรียบเทียบแล้วการฟื้นตัวของไทยไม่เพียงช้าแต่อาจยังดูมีทิศทางล้าหลังจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในไทยที่ยังไม่กลับมา ซึ่งแตกต่างจากประเทศอื่นที่กลับมาฟื้นตัวทะลุระดับที่สูงขึ้นกว่าเดิมหรือสถานการณ์การท่องเที่ยวไทยที่มีความเปราะบางจากการที่มีการพึ่งพิงนักท่องเที่ยวจีนในช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 ที่คิดเป็นสัดส่วนกว่า 28% อาจเริ่มเสื่อมความนิยม

จากสถิติที่ชี้ว่าในปี 2567 นักท่องเที่ยวจีนฟื้นตัวเพียง 60% ซึ่งมองว่า สถานการณ์การท่องเที่ยวไทยอาจไม่ได้สดใสอย่างที่มองกันแบบผิวเผิน แต่อาจมีความท้าท้ายที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งจะกลายเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตในระยะยาว

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี มองว่า นักท่องเที่ยวจีนยังไม่กลับมา หรือจะไม่กลับมา จากความดึงดูดในเรื่องของอัตราการท่องเที่ยวซ้ำ เนื่องจากตลาดท่องเที่ยวไทยเป็นตลาดที่เข้าถึงง่ายจากค่าใช้จ่ายต่อทริปที่ไม่สูง ส่งผลให้ตลาดไทยอยู่ในฐานะจุดหมายแรกของการเริ่มเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ (Entry Level) ที่อาจได้ประโยชน์ในระยะแรก

แต่อาจเริ่มถูกตั้งคำถามถึงอัตราการท่องเที่ยวซ้ำ (Revisit Intention) ส่งผลให้กลุ่มที่เคยมาเที่ยวเมืองไทยแล้วมีการตัดสินใจถึงความน่าสนใจในการเดินทางมาท่องเที่ยวซ้ำอาจไม่สูงมากนักจากข้อจำกัดเรื่องการท่องเที่ยวในไทย

ไทยยังมีปัญหาซุกใต้พรมอยู่มาก เช่น ประสบการณ์ที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ คุณภาพการขนส่งสาธารณะโดยเฉพาะนอกเขตเมืองหลักของการท่องเที่ยว รวมถึงประเด็นเรื่องพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ย่อมเปลี่ยนตามรายได้ที่เปลี่ยนแปลงไป

ทั้งนี้พฤติกรรมนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เคยมาเที่ยวไทย เมื่อรายได้เพิ่มขึ้นตามช่วงอายุ การท่องเที่ยวต่างประเทศในประเทศอื่น ๆ ก็ย่อมที่จะมีทางเลือกมากขึ้น รวมถึงการท่องเที่ยวต่างประเทศส่วนใหญ่จะมีข้อจำกัดด้านเวลาหรือโอกาส เช่น คนทำงานประจำอาจมีโอกาสในการจัดการวันลาเพื่อท่องเที่ยวต่างประเทศได้หนึ่งครั้งต่อปี การตัดสินใจเลือกท่องเที่ยวในประเทศอื่นย่อมเป็นการตัดโอกาสการเดินทางมาท่องเที่ยวไทยในปีเดียวกันอย่างเลี่ยงไม่ได้

ทั้งนี้การท่องเที่ยวของไทยยังมีตัวเลขค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริปที่ไม่สูง แม้ในปี 2562 จะมีตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงถึง 39.92 ล้านคนก็ตาม เป็นนักท่องเที่ยวจากอาเซียนถึง 10.9 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วนถึง 27.2% ของนักท่องเที่ยวรวม

แต่หากพิจารณาลึกลงไปพบว่ามีนักท่องเที่ยวจากกลุ่มประเทศที่มีชายแดนติดกันรวมแล้วกว่า 7.4 ล้านคน หรือคิดเป็นสัดส่วน 68% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติในกลุ่มอาเซียนทั้งหมด รวมถึงในปี 2567 นักท่องเที่ยวจากกลุ่มอาเซียนก็ยังมีสัดส่วนมากถึง 30% ของนักท่องเที่ยวรวม ซึ่งนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้คาดว่ามีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยที่ไม่สูงนักจากค่าครองชีพในต้นทางที่ไม่สูงกว่าไทยที่ส่งผลต่อกำลังซื้อที่ไม่มากพอ รวมถึงค่าเสียโอกาสในการเดินทางท่องเที่ยวต่ำกว่าส่งผลต่อระยะพักแรมที่สั้นกว่าเมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอื่น

ดังนั้น การตั้งเป้าในเรื่องเชิงปริมาณของจำนวนนักท่องเที่ยวอาจเป็นเรื่องที่ควรให้ความสำคัญมากกว่าด้านปริมาณ โดยสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้การท่องเที่ยวไทยยั่งยืนคือควรเน้นเรื่องคุณภาพนักท่องเที่ยวมากกว่าเชิงปริมาณ

นอกจากนี้โครงสร้างนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวไทยยังกระจุกตัวอยู่ในแค่ในกรุงเทพมหานครและหัวเมืองใหญ่เกือบ 90% เป็นประเด็นที่กระทบต่อศักยภาพการเข้าประเทศไทยที่ถูกจำกัดจากการที่นักท่องเที่ยวยังเดินทางผ่านกรุงเทพฯ เป็นหลักเสมอ

รายงานของ Euromonitor ชี้ว่า กรุงเทพฯ รับนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 32.4 ล้านคน จากนักท่องเที่ยวทั้งปีที่ 35.5 ล้านคน มองผิวเผินอาจเป็นเรื่องที่ดี แต่หากเปรียบเทียบกับเมืองที่มีนักท่องเที่ยวเป็นลำดับที่ 2 คือ เมืองอิสตันบูล ที่รับนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 23 ล้านคน แต่นักท่องเที่ยวของประเทศตุรกีกลับสูงถึง 69.3 ล้านคน สะท้อนถึงการเดินทางเข้าตุรกีอาจไม่จำเป็นต้องเข้าเมืองอิสตันบูลโดยตรง

โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวจากยุโรป ซึ่งสะท้อนข้อจำกัดการเที่ยวในเมืองอื่น ๆ ของไทยยังมีศักยภาพที่ต่ำกว่ากรุงเทพฯ ค่อนข้างมาก จึงมีโอกาสที่จะพัฒนาต่อยอดให้เกิดการท่องเที่ยวและมีการใช้จ่ายท่องเที่ยวได้มากขึ้น หากมีระบบการเดินทางที่ครอบคลุมเชื่อมโยงมากขึ้น

จากสาเหตุเหล่านี้ ttb analytics จึงมองในปี 2568 ตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติในไทยยังคงได้รับอานิสงค์บ้างจากนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มใหม่ เช่น นักท่องเที่ยวจากอินเดียจากการที่รายได้ต่อหัวของอินเดียปรับเพิ่มขึ้น (GDP Per Capita) ถึง 73.1% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งช่วยให้คนอินเดียสามารถเข้าถึงการท่องเที่ยวต่างประเทศได้มากกว่าในอดีต

และจากการที่ไทยอาจมีฐานะเป็นจุดหมายแรกของการเริ่มเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ (Entry Level) ก็อาจได้ประโยชน์ แต่การเพิ่มนักท่องเที่ยวของอินเดียดังกล่าวยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นที่ยังไม่สามารถชดเชยนักท่องเที่ยวจีนที่ ยังไม่กลับหรืออาจไม่กลับ โดยคาดมีนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ 37.8 ล้านคน และอาจเริ่มเติบโตชะลอลงในปี 2569 จากนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ที่ยังไม่สามารถชดเชยนักท่องเที่ยวจากจีนที่ขาดหายไปได้

ดังนั้นในมุมมองของ ttb analyticsจึงเสนอแนะว่าไทยควรเตรียมรับมือจากข้อจำกัดข้างต้นที่กล่าวไว้ เช่น การพำนักระยะยาว (Long Stay) เพื่อวัตถุประสงค์ในการเพิ่มรายจ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เนื่องจากปกตินักท่องเที่ยวต่างชาติที่ท่องเที่ยวรายครั้งจะมีระยะเวลาพักผ่อนในไทยราว 6-8 วัน สำหรับนักท่องเที่ยวเอเชีย และ 14-17 วันสำหรับนักท่องเที่ยวจากยุโรป สหรัฐอเมริกา และ ออสเตรเลีย

ในขณะที่ถ้าไทยสามารถดึงดูดให้เกิดการท่องเที่ยวแบบพำนักระยะยาวได้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุในประเทศพัฒนาแล้วที่มีความประสงค์หาประเทศที่มีค่าครองชีพต่ำเพื่ออาศัยในช่วงเกษียณอายุที่คาดว่าจะมีการใช้จ่ายมากกว่าการท่องเที่ยวรายครั้ง 10-12 เท่า

นอกจากนี้ การได้รับนักท่องเที่ยวแบบพำนักระยะยาวย่อมเป็นฐานในการสร้างรายได้ในปีถัด ๆ ไป เนื่องจากนักท่องเที่ยวเหล่านี้ได้ลงหลักปักฐาน ซึ่งต่างจากนักท่องเที่ยวรายครั้งที่ต้องหวังให้นักท่องเที่ยวกลุ่มนั้นยังมีความประสงค์กลับมาเที่ยวไทยซ้ำต่อเนื่อง
ดังนั้น การเพิ่มบทบาทของนักท่องเที่ยวแบบพำนักระยะยาวอาจเป็นจุดเริ่มต้นของแผนการที่เน้นให้ภาคการท่องเที่ยวไทยใส่ใจคุณภาพได้มากกว่าการเน้นในด้านปริมาณ

ภาครัฐควรจริงจังมากขึ้นในการดำเนินนโยบายด้านการให้ความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยวแบบพำนักระยะยาว เช่น การครอบครองที่อยู่อาศัย สิทธิในการรักษาพยาบาลแบบรับผิดชอบรวม เพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาพำนักระยะยาวในไทยเพิ่มมากขึ้นกว่าในปัจจุบัน

นอกจากนี้ การอาศัย Location เพื่อดึงดูดการท่องเที่ยวจากประเทศที่มีศักยภาพ เช่น กลุ่มประเทศในทวีปเอเชียที่ใช้เวลาท่องเที่ยวไม่นานนัก เนื่องจากกลุ่มประเทศเหล่านี้เดินทางมาไทยด้วยเที่ยวบินระยะสั้น (Short Haul) ซึ่งส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางต่ำและใช้เวลาในการเดินทางไม่มาก รวมถึง ในพื้นที่ดังกล่าวพบว่ายังมีประเทศที่มีศักยภาพในเชิงของกำลังซื้อที่สูงกว่าไทย เช่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน รวมถึงกลุ่มประเทศใหญ่ที่ยังมีศักยภาพในการขยายตัวด้านปริมาณอย่างมหาศาลจากฐานประชากรที่ใหญ่อย่างอินเดีย เป็นต้น

แม้สถานการณ์การท่องเที่ยวไทยจะเห็นสัญญาณการฟื้นตัว แต่ตัวเลขนักท่องเที่ยวของหลาย ๆ ประเทศที่มีสัญญาณกลับมาอยู่ในระดับสูงกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤตการณ์โควิด-19 แต่สัญญาณดังกล่าวอาจสะท้อนถึงไทยที่เริ่มเสื่อมมนต์ขลังในการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเพื่อให้บรรลุความคาดหวังที่วางไว้ให้กลับไปเท่ากับช่วงปี 2562 ก่อนเกิดวิกฤตการณ์โควิด-19 ที่ 39.92 ล้านคน ซึ่งอาจเป็นจุดสูงสุดที่ไทยทำได้

ดังนั้น ด้วยศักยภาพของการท่องเที่ยวไทยที่อยู่บนทรัพยากรที่จำกัด ภาครัฐและผู้ประกอบการควรเร่งปรับลดข้อจำกัด ลดจุดอ่อน เพิ่มจุดแข็ง ยกระดับคุณภาพ ลดการเน้นปริมาณ เพื่อยกระดับการพัฒนาการท่องเที่ยวไทยให้เป็นทางเลือกลำดับแรกๆ และคุ้มค่าที่จะกลับมาเที่ยวซ้ำ เพื่อความยั่งยืนของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในอนาคต

 อ่านข่าว:

ต่างชาติเข้าไทย 1 แสนคนต่อวัน ปักหมุดเที่ยวทั้งปีไม่มีโลว์ซีซัน

ดีเซลแพง ท่องเที่ยว ส่งออกโต ดันดัชนีค่าขนส่ง Q4 ปี 67 เพิ่ม 2.7%

TDRI ชี้เศรษฐกิจไทยปี68 “ไม่ตายแต่ไม่โต” มรสุมการค้า-สงครามทำโลกปั่นป่วน

 


“พาณิชย์”ย้ำปาล์ม ไม่ขาดแคลน ผลผลิตเริ่มออก โรงสกัดเปิดรับซื้อ

Thu, 9 Jan 2025 14:03:00

วันนี้( 9 ม.ค.2568) นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เป็นประธานการประชุมหารือร่วมกับสมาคมโรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม เพื่อติดตามสถานการณ์ด้านการผลิตและการตลาดปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์ม ซึ่งในช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันปรับตัวลดลงตามฤดูกาล อีกทั้งพื้นที่เพาะปลูกในหลายพื้นที่ประสบปัญหาน้ำท่วมทำให้เกษตรกรไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลปาล์มได้ ส่งผลให้ปริมาณผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยกว่าที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรคาดการณ์ไว้ อีกทั้งปริมาณสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง

นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน

นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน

โดย วันที่ 7 มกราคม 2568 ราคาผลปาล์มน้ำมัน อยู่ที่ 7.40 – 8.50 บาท/กก. ราคาน้ำมันปาล์มดิบ อยู่ที่ 44.50 – 45.00 บาท/กก. อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลกยังมีความผันผวน โดยมีปัจจัยสำคัญ เช่น ราคาน้ำมันปาล์มดิบของมาเลเซียเริ่มปรับตัวลดลง และการชะลอการปรับเพิ่มสัดส่วนการผลิตไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลจาก B35 เป็น B40 ของอินโดนีเซีย

นายวิทยากรฯ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ โรงงานสกัดฯ เปิดรับซื้อผลปาล์มน้ำมันตามปกติ ภายหลังการหยุดซ่อมบำรุงเครื่องจักรประจำปีและหยุดในช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งที่ประชุม คาดว่า สถานการณ์ปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มดิบในประเทศจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในระยะต่อไป

เนื่องจากปริมาณผลปาล์มน้ำมันมีแนวโน้มออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นในช่วงปลายเดือนมกราคมนี้เป็นต้นไป โดยผลผลิตจะออกมากในช่วงเดือนมีนาคม ในการนี้ สมาคมฯ จึงขอให้ภาครัฐกำกับดูแลราคาผลผลิตของพี่น้องเกษตรกรอย่างใกล้ชิด เนื่องจากกระทรวงพลังงานปรับลดสัดส่วนการผลิตไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซลจาก B7 เป็น B5 ตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันปาล์มดิบในภาคพลังงานปรับลดลง

นอกจากนี้ ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ ได้ขอความร่วมมือผู้ประกอบการตรึงราคาจำหน่ายน้ำมันปาล์มขวดขนาด 1 ลิตร ไม่ให้เกินขวดละ 50 บาท เพื่อช่วยเหลือผู้บริโภค ซึ่งจากการหารือในวันนี้ คาดว่า หากสถานการณ์ผลผลิตออกสู่ตลาดเพิ่มมากขึ้น จะช่วยให้ต้นทุนการผลิตน้ำมันปาล์มขวดปรับลดลง และสามารถจำหน่ายได้ในราคาที่สอดคล้องกับต้นทุนการผลิต

ทั้งนี้กรมการค้าภายในจะติดตามสถานการณ์ด้านการผลิตและการตลาดของปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มีการซื้อขายที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย และขอความร่วมมือผู้ประกอบการทุกภาคส่วนกำหนดราคาซื้อขายให้สอดคล้องกับกลไกตลาด ซึ่งหากพบผู้ประกอบการรายใดดำเนินการโดยจงใจทำให้ราคาต่ำเกินสมควรหรือสูงเกินสมควร หรือทำให้ปั่นป่วนซึ่งราคาของสินค้าหรือบริการใด ซึ่งมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

อ่านข่าว:

 อคส.แจงปมข้าวไฟไหม้ โยนศาลตันสิน ยกเลิกสัญญา-คืนเงินประกัน

ต่างชาติเข้าไทย 1 แสนคนต่อวัน ปักหมุดเที่ยวทั้งปีไม่มีโลว์ซีซัน

ขึ้นค่าแรง 400 บาท สนค.ชี้กระทบเงินเฟ้อเพียง0.15-0.30%

 


สินค้าผิด กม.ทะลัก "สรรพสามิต" ปราบสินค้าเถื่อนกว่า 3 หมื่นคดี

Thu, 9 Jan 2025 12:21:32

วันนี้ (9 ม.ค.2568) นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รมช.คลัง กล่าวในงานแถลงโดยระบุข่าวว่า กรมสรรพสามิตดำเนินการปราบปรามสินค้าผิดกฎหมาย หรือสินค้าเถื่อน และยกระดับการดำเนินงานและการขยายผลของศูนย์ปราบปรามสินค้าออนไลน์และการบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก ทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน

ในปี พ.ศ.2567 ปราบปรามได้ทั้งสิ้น 34,746 คดี สูงขึ้นกว่าปีก่อน 33.62% เป็นคดีคุณภาพ จำนวน 1,037 คดี สูงขึ้นกว่าปีก่อน 35.03% และนำเงินส่งคลัง สูงขึ้นกว่าปีก่อน 45.79% คิดเป็นเงิน ทั้งสิ้น 445.92 ล้านบาท โดยจำแนกเป็น

1.สุรา 16,085 คดี สูงขึ้นกว่าปีก่อน 16.11% เป็นสุราในประเทศ 141,584.187 ลิตร สูงขึ้นกว่าปีก่อน 2.41% และสุราต่างประเทศ 32,318.659 ลิตร สูงขึ้นกว่าปีก่อน 161.62 %

2.ยาสูบ 14,098 คดี สูงขึ้นกว่าปีก่อน 62.23% เป็นยาสูบในประเทศ 379,525 ซอง สูงขึ้นกว่าปีก่อน 168.91% และยาสูบต่างประเทศ 3,018,142 ซอง สูงขึ้นกว่าปีก่อน 64.33 %

3.ไพ่ จำนวน 582 คดี สูงขึ้นกว่าปีก่อน 59.45% จำนวน 78,124 สำรับ สูงขึ้นกว่าปีก่อน 214.60 %

4.รถยนต์ จำนวน 302 คดี สูงขึ้นกว่าปีก่อน 51% จำนวน 389 คัน สูงขึ้นกว่าปีก่อน 100.52%

5.รถจักรยานยนต์ จำนวน 1,283 คดี สูงขึ้นกว่าปีก่อน 63.44% จำนวน 2,856 คัน สูงขึ้นกว่าปีก่อน 197.19%

6. เครื่องหอมและเครื่องสำอาง จำนวน 267 คดี สูงขึ้นกว่าปีก่อน 90.71% จำนวน 234,743 ขวด สูงขึ้นกว่าปีก่อน 244.31%

กรมสรรพสามิตได้เตรียมจะขยายศูนย์ปราบปรามสินค้าออนไลน์ไปทั่วประเทศทันที รวมทั้งยกระดับและเร่งรัดการทำงานปราบปรามเชิงรุก นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อสืบค้นการกระทำผิดในช่องทางออนไลน์ เพื่อยกระดับการสืบสวนและการติดตามสินค้าเถื่อน 

นอกจากนี้ ยังได้มีการร่วมมือกับ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กรมการปกครอง กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมการขนส่งทางบก ศรชล. กองทัพเรือ กองทัพบก ไปรษณีย์ไทย แฟลช เอ็กซ์เพรส เป็นต้น ส่งผลให้ศักยภาพการปราบปรามก้าวกระโดดอย่างมีนัยสำคัญ

อ่านข่าว : "จรูญเกียรติ" เตรียมเอาผิด อ้างเป็น "สรรพสามิต" ขอเคลียร์รถน้ำมันเถื่อน 

'กรมสรรพสามิต' ถูกร้องออกระเบียบ 'สุราสามทับ' เอื้อเอกชน  

ดีเดย์ 23 ก.พ. สรรพสามิตลดอัตราภาษีไวน์-สุราแช่-สถานบริการ 

 

 

 

 


ราคา "ทองคำ" บวก 150 บาท “รูปพรรณ” ทะลุ 44,100 บาทอีกครั้ง

Thu, 9 Jan 2025 09:57:00

วันนี้ ( 9 ม.ค.2568) เว็บไซต์ "ฮั่วเซ่งเฮง" ภาพรวมความเคลื่อนไหวที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ หลังจากที่สหรัฐได้มีการเปิดเผยการจ้างงานภาคเอกชนทั่วประเทศเดือนธ.ค. ของ ADP ที่เพิ่มขึ้น 122,000 ตำแหน่ง ต่ำกว่าตลาดคาด อย่างไรก็ตามเริ่มมีแรงเทขายออกมา ขณะที่การเปิดเผยรายงานการประชุม FOMC สะท้อนให้เห็นว่าเฟดมีความกังวลเงินเฟ้อพุ่งขึ้น และส่งสัญญาณชะลอลดดอกเบี้ย ส่วนกองทุน SPDR ถือครองทองคำเท่าเดิม

วิเคราะห์ราคาทองคาดราคาทองคำเคลื่อนไหวในกรอบที่แคบลง หลังจากที่ราคาทองคำพุ่งขึ้นเข้าใกล้บริเวณแนวต้าน 2,670 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น แต่อยู่ในกรอบที่แคบลง เนื่องจากสัญญาณทางเทคนิคจาก MACD เกิด Bullish MACD และ MACD>0

ขณะที่ราคาทองตลาดโลกแนวรับ : 2,645 และ 2,630 ดอลลาร์แนวต้าน : 2,670 และ 2,675 ดอลลาร์คาดราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น แต่อาจอยู่ในกรอบที่แคบลง ทั้งนี้หากเก็งกำไรระยะสั้น สามารถเข้าซื้อบริเวณ 2,630 ดอลลาร์ โดยมีจุดตัดขาดทุนที่ 2,620 ดอลลาร์

ส่วนราคาทองคำแท่ง 96.5%แนวรับ : 43,400 และ 43,300 บาทแนวต้าน : 43,700 และ 43,800 บาทคาดราคาทองคำแท่งยังคงมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ต่อ แต่อาจอยู่ในกรอบที่แคบลง เนื่องจากสัญญาณทางเทคนิคจาก MACD ยังคงเกิด Bullish MACD และยังไม่เข้าสู่ Overbought จาก Modified Stochastic แนะนำ Let Profit Run

สำหรับราคาทองคำเปิดตลาด บวก 150 บาท ส่งผลให้ราคาทองคำแท่งขายออกบาทละ 43,600 บาท และราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 43,500 บาท ราคาทองรูปพรรณขายออกบาทละ 44,100 บาท และราคาทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 42,720.88 บาท ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) อยู่ที่ 2,658.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ณ อัตราแลกเปลี่ยนที่ระดับ 34.66บาทต่อดอลลาร์

ราคาทองรูปพรรณรวมค่ากำเหน็จ 500 บาท มีราคาดังนี้ ทองครึ่งสลึง ราคาขาย 5,950 บาท ทอง 1 สลึง ราคาขาย 11,400 บาท ทอง 2 สลึง/50 สตางค์ ราคาขาย 22,300 บาท และทอง 1 บาท ราคาขาย 44,100 บาท ภาพรวมราคาทองเดือน 9 ม.ค.2568 บวก 1,200 บาท

อ่านข่าว:

ทองคำ บวก 150 บาท เปิดตลาด “รูปพรรณ” ขายออก 43,800 บาท

ทองคำ บวก 50 บาท เปิดตลาด “รูปพรรณ” ขายออก 43,700 บาท

"ทองคำ" ผันผวน 9 ครั้ง ปิดตลาด “รูปพรรณ” ขายออก 43,650


ต่างชาติเข้าไทย 1 แสนคนต่อวัน ปักหมุดเที่ยวทั้งปีไม่มีโลว์ซีซัน

Wed, 8 Jan 2025 18:55:00

วันนี้ (8 ม.ค.2568) น.ส.ศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รายงานการท่องเที่ยวไทยตลอดทั้งปี 2567 สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวน 35.54 ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ 26.27 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวระหว่างประเทศถึง 1.67 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 34 สะท้อนถึงการฟื้นตัว และมาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา ยกเว้นใบ ตม.6 สำหรับด่านชายแดนทางบก รวมถึงการเปิดเส้นทางบินใหม่และเพิ่มความถี่ของสายการบิน

โดยนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาไทย 3 อันดับแรก ได้แก่ จีน มาเลเซีย และอินเดีย ส่วนการท่องเที่ยวภายในประเทศ คนไทยท่องเที่ยวไทยเดินทางรวม 198.69 ล้านคน/ครั้ง เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.02 สร้างรายได้ในประเทศถึง 9.5 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.03 โดย กทม. ชลบุรี และ กาญจนบุรี ยังคงเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยม

"ลิซ่า" ลลิษา มโนบาล” ศิลปินระดับโลกสัญชาติไทยร่วมแสดงงาน Amazing Thailand Countdown 2025

ไทยติด Top 5 Countdown Destination 

น.ส.ศศิกานต์ กล่าวว่า ความสำเร็จในการผลักดันการท่องเที่ยวให้เป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญบนเวทีโลก เกิดจากการบูรณาการ การทำงานร่วมกันระหว่างรัฐบาล ภาคเอกชน และท้องถิ่น ช่วยกันสร้างภาพลักษณ์ที่ดีผ่านกิจกรรมและอีเวนต์ที่หลากหลาย

โดยเฉพาะกิจกรรมส่งท้ายปีการท่องเที่ยวอย่างยิ่งใหญ่งาน Amazing Thailand Countdown 2025 ที่มี "ลิซ่า" ลลิษา มโนบาล ศิลปินระดับโลกสัญชาติไทยร่วมแสดง ได้รับความสนใจจากผู้ชมกว่า 30 ล้านคนผ่านการถ่ายทอดสดทางช่องทางต่าง ๆ

รวมถึงสื่อระดับโลก เช่น CNN, BBC, และ Reuters โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาคาดว่าจะสร้างรายได้กว่า 62,000 ล้านบาท และยกระดับไทยให้เป็นหนึ่งใน Top 5 Countdown Destination ที่ทั่วโลกอยากมาเยือน

วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร หรือ วัดอรุณหนึ่งในแลนมาร์กที่ชาวต่างชาติปักหมุดเที่ยว

วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร หรือ วัดอรุณหนึ่งในแลนมาร์กที่ชาวต่างชาติปักหมุดเที่ยว

ปักหมุดเที่ยวไทยทั้งปีไม่มีโลว์ซีซัน  

สำหรับภาพรวมการท่องเที่ยวตั้งแต่วันที่  1-5 ม.ค.นี้ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ 505,411 คน หรือเฉลี่ยประมาณ 100,000 คน/วัน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้วประมาณ 25,299 ล้านบาท โดยนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน 69,548 คน มาเลเซีย 57,127 คน รัสเซีย 46,752 คน เกาหลีใต้ 28,160 คน และอินเดีย 26,635 คน

รัฐบาลผลักดันการท่องเที่ยวให้ประเทศไทยเป็น Tourism Hub เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยส่งเสริมการจัดงานและอีเวนต์ระดับโลก

ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลของไทย การจัดคอนเสิร์ต หรือการแข่งขันกีฬาต่าง ๆ และมุ่งเน้นมาตรการที่สร้างความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว รวมถึงขยายเส้นทางการบินใหม่ ๆ เข้าเมืองน่าเที่ยวท้องถิ่นไทย เพื่อให้เที่ยวไทยได้ทั้งปี ไม่มีโลว์ซีซัน 



 


อคส.แจงปมข้าวไฟไหม้ โยนศาลตันสิน ยกเลิกสัญญา-คืนเงินประกัน

Wed, 8 Jan 2025 16:21:00

วันนี้ ( 8 ม.ค.2568) จากกรณีที่บริษัท สิงห์โตทองไร้ซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เลขที่ 99/1 หมู่ 2 ต.ธำมรงค์ อ.เมือง จ.กำแพงเพชร นำเอกสารออกมาเปิดเผยว่า ได้รับความเสียหายจากการรับฝากข้าวที่ องค์การคลังสินค้า (อคส.) ทำสัญญาเช่าคลังสินค้าไว้เมื่อปี 2557 จนมีปัญหายืดเยื้อเข้าสู่ปีที่ 10 จากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่หน่วยงานของภาครัฐบางคนที่มีอำนาจในขณะนั้น สร้างความเสียหายกว่า 1,000 ล้านบาท

ล่าสุดนายกฤษณรักษ์ ใจดี รักษาการผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า (อคส.) ออกมาชี้แจงว่า กรณีที่คลังข้าวสิงโตทองไรซ์ เกิดไฟไหม้และมีการยกเลิกสัญญาซื้อขายข้าวสารในสต็อกจนเกิดการร้องเรียน ว่า กรณีที่ข้าวเกิดไฟไหม้อคส.ได้ดำเนินการคัดแยกข้าวสารมาไว้ที่หน้าคลังสินค้าและคณะทำงานตรวจสอบปริมาณและคุณภาพข้าว ชุดที่ 101/2557 เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.2558 ได้ตรวจสอบ พบว่า เป็นข้าวผิดชนิด ดังนั้น จึงเกิดข้อพิพาทและอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครอง

นอกจากนี้อคส.ได้ทำประกันภัยกับบริษัทประกันภัย โดยบริษัทประกันภัยได้นำค่าสินไหมทดแทนมาชำระให้กับ อคส. ชนิดข้าวขาว 5% จำนวน 50 กระสอบ เป็นเงิน 82,600.00 บาท และชนิดข้าวเหนียว 10% จำนวน 4,187กระสอบ เป็นเงิน 10,894,574.00 บาท ซึ่ง อคส. ได้ออกเอกสารให้บริษัทประกันภัยเพื่อไปรับซากทรัพย์เรียบร้อยแล้ว แต่ปรากฏว่าไม่สามารถเข้าไปรับซากทรัพย์ได้ เนื่องจากเจ้าของคลังยึดหน่วงซากทรัพย์

หลังจากนั้น อคส.ได้ออกประกาศการจำหน่ายข้าวสารในสต็อกของรัฐเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคนและสัตว์ ครั้งที่ 1/2563 ลงวันที่ 12 พ.ค. 2563 ซึ่งผู้ซื้อได้ทำสัญญาซื้อขายเลขที่ คชก.ซข.(อต.)4/2563 ลงวันที่ 9 ก.ย. 2563 จำนวน 38,592.481329 ตัน มูลค่า 319,488,888.03 บาท ผู้ซื้อรับมอบได้ จำนวน 30,348.600 ตัน มูลค่า 251,251,692.12 บาท คงค้างการรับมอบ 8,243.881329 ตัน มูลค่า 68,247,192.18 บาท

ต่อมา ฝ่ายกฎหมายของอคส.ให้ความเห็นว่า การซื้อขายตามกรณีนี้เป็นการรับมอบสินค้าที่ บจก.สิงห์โตทองฯ หลัง A1 เมื่อกองข้าวที่มีสภาพไฟไหม้อยู่ภายนอกคลังสินค้า A1 และไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นข้าวจากกองใดจึงเป็นข้อเท็จจริงที่พ้นวิสัยอันจะบังคับเอาได้ตามสัญญาให้ ผู้ซื้อ ต้องรับข้าวซึ่งมีสภาพไฟไหม้ไปตามสัญญา ประกอบกับ ผู้ซื้อ รับข้าวจากคลังสินค้า A1 แล้วคงเหลือเพียงข้าวบางส่วนซึ่งนำออกมาไว้นอกคลังโดยไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นข้าวของคลังสินค้า A1 ซึ่งระบุตามสัญญาซื้อขายแล้วหรือไม่ ทั้งความรับผิดในการส่งมอบข้าวนั้น อคส. ในฐานะผู้ขายไม่ต้องรับผิดในจำนวนขายที่ไม่สามารถส่งมอบได้ครบตามสัญญา

ดังนั้น หาก ผู้ซื้อ รับข้าวตามสัญญาในคลังสินค้า A1 แล้ว คงมีเพียงปริมาณข้าวที่อยู่นอกคลังและมีสภาพไฟไหม้ มีการรับมอบตามสัญญาแล้ว ผู้ซื้อ พ้นภาระตามสัญญาซื้อขายแล้ว จึงได้รับหลักประกันที่ใช้ในการค้ำประกันสัญญาคืน

โดยเวันที่ 1 เม.ย. 2567 อดีตผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า ได้อนุมัติให้ยกเลิกการชำระเงินและรับมอบข้าวสารและคืนหลักประกันสัญญาให้กับผู้ซื้อ ทั้งนี้ อคส.ได้ดำเนินการตามขั้นตอนด้วยความรอบคอบ ซึ่งขณะนี้เรื่องดังกล่าวอยู่ในกระบวนการพิจารณาในชั้นศาล

 อ่านข่าว:

ขึ้นค่าแรง 400 บาท สนค.ชี้กระทบเงินเฟ้อเพียง0.15-0.30%

นาทีทองคนตัวเล็ก คต.ปลดล็อกขั้นตอนส่งออกข้าวเริ่มแล้ว 3 ม.ค.

TDRI ชี้เศรษฐกิจไทยปี68 “ไม่ตายแต่ไม่โต” มรสุมการค้า-สงครามทำโลกปั่นป่วน


ขึ้นค่าแรง 400 บาท สนค.ชี้กระทบเงินเฟ้อเพียง0.15-0.30%

Wed, 8 Jan 2025 11:01:00

วันนี้ ( 8 ม.ค.2567) นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวว่า สนค.ได้วิเคราะห์ ผลกระทบของการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำต่ออัตราเงินเฟ้อทั่วไป หลังจากราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ประกาศคณะกรรมการค่าจ้าง ปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2568 ที่แบ่งเป็น 17 อัตรา เพิ่มในอัตราวันละ 7 - 55 บาท (เฉลี่ย 2.9%) โดยมีอัตราสูงสุด คือ วันละ 400 บาท และอัตราต่ำสุด คือ วันละ 337 บาท

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)

พบว่า จะส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อประมาณ 0.15 - 0.30% และทำให้อัตราเงินเฟ้อในปี 2568 จะยังอยู่ในช่วง 0.3 - 1.3% (ค่ากลาง0.8% ) ตามที่ สนค. ได้คาดการณ์เมื่อเดือนธ.ค. 2567

ทั้งนี้สนค. วิเคราะห์ผลกระทบโดยใช้ตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิตของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และข้อมูลจำนวนผู้ใช้แรงงานที่ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำ แบ่งกลุ่มสินค้าและบริการที่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำได้ 6 กลุ่ม ประกอบด้วย

กลุ่มที่ 1 สินค้าและบริการที่มีการกำกับดูแลโดยภาครัฐ คิดเป็นประมาณ 22% ของน้ำหนักสินค้าและบริการในตะกร้าเงินเฟ้อ ได้แก่ ค่าน้ำประปา ค่ากระแสไฟฟ้า น้ำมันดีเซล แก๊สโซฮอล์ ค่าการศึกษา ค่าทางด่วน ค่าเดินทางสาธารณะ และค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น

โดยการปรับราคาสินค้าและบริการเหล่านี้จะขึ้นอยู่กับมาตรการภาครัฐ ดังนั้น การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำครั้งนี้จะไม่ส่งผลให้สินค้าและบริการในหมวดนี้ปรับตัวสูงขึ้น

กลุ่มที่ 2 สินค้าและบริการที่มีการผลิตในระบบอุตสาหกรรม และเป็นสินค้าที่มีการใช้ในชีวิตประจำวันอย่างสม่ำเสมอ คิดเป็น25% ของน้ำหนักสินค้าและบริการในตะกร้าเงินเฟ้อ ได้แก่ สินค้าในหมวดเครื่องประกอบอาหาร (น้ำตาล เกลือ น้ำมันพืช) เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ (น้ำดื่ม กาแฟ น้ำหวาน) ของใช้ส่วนบุคคล (ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม แปรงสีฟัน กระดาษชำระ) และสินค้าคงทนต่าง ๆ (เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ รถจักรยานยนต์)

เนื่องจากกระบวนการผลิตของสินค้าส่วนใหญ่เป็นโรงงานอุตสาหกรรมมีการใช้เทคโนโลยีและเครื่องจักรในการผลิตเป็นส่วนใหญ่ มีการใช้แรงงานขั้นต่ำน้อย ทำให้อาจจะไม่มีการปรับเพิ่มราคาสินค้าและบริการในกลุ่มนี้ตามการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ

กลุ่มที่ 3 สินค้าที่มีการใช้แรงงานสูงแต่การส่งผ่านราคาสู่ผู้บริโภคไม่มากนัก คิดเป็นประมาณ 22% ของน้ำหนักสินค้าและบริการในตะกร้าเงินเฟ้อ ได้แก่ สินค้าในภาคการเกษตร ทั้งผักสด ผลไม้สด พืชไร่ และปศุสัตว์ เนื่องจากภาคการผลิตเหล่านี้มีการใช้แรงงานในสัดส่วนที่สูง แต่ไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังราคาสินค้าได้

เนื่องจากราคาสินค้าถูกกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทาน ดังนั้น การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในครั้งนี้จะไม่ส่งผลให้สินค้าในหมวดนี้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ภาครัฐควรมีนโยบายดูแลภาคการผลิตเหล่านี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบให้รายได้สุทธิลดลง

กลุ่มที่ 4 สินค้าและบริการที่มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ คิดเป็นประมาณ 16%ของน้ำหนักสินค้าและบริการในตะกร้าเงินเฟ้อ ได้แก่ อาหารสำเร็จรูป (บริโภคในบ้านและบริโภคนอกบ้าน) โดยเฉพาะอาหารจานด่วน อาหารตามสั่ง ข้าวราดแกง และกับข้าวเป็นถุง

เนื่องจากมีต้นทุนการใช้แรงงานสูง ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดเล็กที่มีความสามารถรองรับการเพิ่มขึ้นของต้นทุนได้ต่ำ อย่างไรก็ตาม ต้นทุนอื่น ๆ ของอาหารสำเร็จรูปในปี 2568 มีแนวโน้มลดลง ทั้งราคาผักสดที่ลดลงจากสภาพอากาศที่เอื้ออำนวยในการเพาะปลูกมากขึ้น ไข่ไก่ที่ราคายังมีแนวโน้มลดลง เนื้อสุกรที่มีการปรับราคาสูงขึ้นไม่มาก รวมทั้งเครื่องประกอบอาหารมีแนวโน้มทรงตัว ดังนั้น การปรับเพิ่มขึ้นของค่าจ้างขั้นต่ำจะส่งผลกระทบต่ออาหารสำเร็จรูป ในปี 2568 ไม่สูงมากนัก

กลุ่มที่ 5 ค่าเช่าบ้านและที่พักอาศัย คิดเป็นประมาณ 14% ของสินค้าและบริการในตะกร้าเงินเฟ้อ โดยการปรับขึ้นค่าเช่าบ้านและที่พักอาศัยขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านอุปสงค์และอุปทานมากกว่าการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ประกอบกับในปี 2568 ภาคอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มฟื้นตัวต่ำจะเป็นปัจจัยกดดันให้ค่าเช่าบ้านและที่พักอาศัยยังอยู่ในระดับต่ำ หรืออาจไม่ได้รับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ

และกลุ่มที่ 6 ค่าบริการที่มีการใช้แรงงานมีฝีมือหรือทักษะสูง คิดเป็นประมาณ 1% ของน้ำหนักสินค้าและบริการในตะกร้าเงินเฟ้อ ได้แก่ ค่าตัดผม ค่าแรงช่างไฟฟ้า ค่าแรงช่างประปา ค่าแรงช่างก่อสร้าง ค่าบริการล้างแอร์ ค่าดูแลผู้สูงอายุ ค่าคนรับใช้/ คนทำงานบ้าน และค่าจ้างเฝ้าไข้ผู้ป่วย เป็นต้น

ในภาพรวมค่าแรงหรือค่าจ้างในภาคบริการเหล่านี้สูงกว่าค่าจ้างขั้นต่ำอยู่แล้ว ดังนั้น การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะส่งผลให้ค่าบริการเหล่านี้ปรับเพิ่มไม่มาก หรืออาจจะไม่มีการปรับขึ้นค่าบริการ

ผอ. สนค. กล่าวต่อว่า การจัดกลุ่มสินค้าและบริการออกเป็น 6 กลุ่มตามผลกระทบของการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ จะทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถติดตามสถานการณ์ของแต่ละกลุ่มได้อย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้ คาดว่าการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในครั้งนี้ จะมีผลต่ออัตราเงินเฟ้อค่อนข้างน้อย เนื่องจากปัจจัยด้านมาตรการช่วยเหลือลดค่าครองชีพของภาครัฐ รวมทั้งอุปสงค์ในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ และลดภาระหนี้สินครัวเรือน ทำให้การจับจ่ายของประชาชนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้รายได้และกำไรสุทธิของผู้ประกอบการมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นราคาสินค้าและบริการ

อ่านข่าว:

 ครม.เคาะกรอบงบ 69 วงเงิน 3.78 ล้านล้าน นายกฯ กำชับใช้คุ้มค่า

ไม่เลื่อน! ตรุษจีนนี้จ่ายเงิน 10,000 เฟส 2 กลุ่มสูงอายุ

น้ำมัน อาหาร-เครื่องดื่มขึ้น ดันเงินเฟ้อปี67 พุ่ง 0.4%


ทองคำ บวก 150 บาท เปิดตลาด “รูปพรรณ” ขายออก 43,800 บาท

Wed, 8 Jan 2025 10:01:00

วันนี้ ( 8 ม.ค.2568) เว็บไซต์ "ฮั่วเซ่งเฮง" ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากข่าวที่ธนาคารกลางจีนได้เข้าซื้อทองคำเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันในเดือนธ.ค. โดยปริมาณทองคำแท่งที่ PBOC ถือครองอยู่เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 73.29 ล้านทรอยออนซ์ในเดือนธ.ค. ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่ความต้องการทองคำกลับมาอีกครั้ง หลังจากที่จีนได้หยุดซื้อทองคำสำรองชั่วคราวเป็นเวลา 6 เดือน ส่วนกองทุน SPDR ถือครองทองคำเท่าเดิม

ตัวเลขเศรษฐกิจที่ต้องติดตามสหรัฐจะเปิดเผยการจ้างงานภาคเอกชนทั่วประเทศเดือนธ.ค. ของ ADP ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 139,000 ตำแหน่ง จากที่เพิ่มขึ้น 146,000 ตำแหน่งในเดือนพ.ย. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3,000 รายสู่ระดับ 241,000 ราย

วิเคราะห์ราคาทองมีแรงซื้อเข้ามาอย่างแข็งแกร่ง แต่ก็มีแรงขายทำกำไรออกมาระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำยังคงยืนเหนือเส้น SMA100 และสัญญาณทางเทคนิคจาก MACD เกิด Bullish MACD และ MACD>0 จึงยังคงมีแนวโน้มที่ปรับตัวขึ้นได้ แต่อาจอยู่ในกรอบจำกัด

ราคาทองตลาดโลกแนวรับ : 2,630 และ 2,620 ดอลลาร์แนวต้าน : 2,660 และ 2,670 ดอลลาร์สัญญาณทางเทคนิคของราคาทองคำยังส่งสัญญาณการปรับตัวขึ้นได้ต่อ ทั้งนี้หากเก็งกำไรระยะสั้น สามารถเข้าซื้อบริเวณ 2,630 ดอลลาร์ โดยมีจุดตัดขาดทุนที่ 2,620 ดอลลาร์

ราคาทองคำแท่ง 96.5%แนวรับ : 43,100 และ 43,000 บาทแนวต้าน : 43,400 และ 43,500 บาทคาดราคาทองคำแท่งยังคงปรับตัวขึ้นได้ต่อ แต่อยู่ในกรอบจำกัด เนื่องจากราคาทองคำแท่งยังคงยืนเหนือเส้น SMA50 รวมถึงสัญญาณทางเทคนิคจาก MACD ยังคงเกิด Bullish MACD แนะนำ Let Profit Run

สำหรับราคาทองคำเปิดตลาด บวก 150 บาท ส่งผลให้ราคาทองคำแท่งขายออกบาทละ 43,300 บาท และราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 43,200 บาท ราคาทองรูปพรรณขายออกบาทละ 43,800 บาท และราคาทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 42,417.68 บาท ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) อยู่ที่ 2,648.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ณ อัตราแลกเปลี่ยนที่ระดับ 34.56บาทต่อดอลลาร์

ราคาทองรูปพรรณรวมค่ากำเหน็จ 500 บาท มีราคาดังนี้ ทองครึ่งสลึง ราคาขาย 5,913บาท ทอง 1 สลึง ราคาขาย 11,325 บาท ทอง 2 สลึง/50 สตางค์ ราคาขาย 22,150 บาท และทอง 1 บาท ราคาขาย 43,900 บาท ภาพรวมราคาทองเดือน 8 ม.ค.2568 บวก 900 บาท

อ่านข่าว:

ทองคำ บวก 50 บาท เปิดตลาด “รูปพรรณ” ขายออก 43,700 บาท

"ทองคำ" ผันผวน 9 ครั้ง ปิดตลาด “รูปพรรณ” ขายออก 43,650

ราคา “ทองคำ” บวก 50 “รูปพรรณ” ขายออก 43,750 บาท


ครม.เคาะกรอบงบ 69 วงเงิน 3.78 ล้านล้าน นายกฯ กำชับใช้คุ้มค่า

Tue, 7 Jan 2025 16:26:00

วันนี้ (7 ม.ค.2568) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 จำนวน 3,780,600 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับกรอบวงเงินตามแผนการคลังระยะปานกลาง (ปึงบประมาณ 2569-2572) ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ เมื่อวันที่ 24 ธ.ค.2567

โดยปี พ.ศ. 2569 นี้ เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ.2568 จำนวน 27,900 ล้านบาท โดยจะมีรายได้สุทธิจำนวน 2,920,600 ล้านบาท และเป็นเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ จำนวน 860,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 4.3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ

สำหรับโครงสร้างงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ประกอบด้วย

ทั้งนี้ รัฐบาลได้ขอให้หน่วยงานต่าง ๆ ปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 ธ.ค.2567 อย่างเคร่งครัด 4 เรื่อง ดังนี้

1.ให้กระทรวงการคลังจัดเก็บรายได้ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยให้เทียบเคียงการดำเนินการกับประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใกล้เคียงกับประเทศไทย

2.ให้หน่วยรับงบประมาณใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุด เพื่อให้มีความคุ้มค่า ประหยัด และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน สำหรับการจัดทำคำขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้เสนอขอรับเท่าที่จำเป็นเท่านั้น โดยให้ความสำคัญกับโครงการลงทุนของภาครัฐ

3.ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่มีเงินนอกงบประมาณ เงินรายได้ หรือเงินสะสม ให้นำเงินเหล่านี้มาใช้ดำเนินโครงการ/ภารกิจในความรับผิดชอบเป็นลำดับแรก รวมทั้งพิจารณาแหล่งเงินอื่นเพื่อนำมาใช้ในการดำเนินโครงการของหน่วยงานตามความเหมาะสม

4.ให้ทุกกระทรวงและรัฐวิสาหกิจเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งให้รัฐวิสาหกิจพิจารณาลงทุนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อจูงใจให้ภาคเอกชนและนักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศเพิ่มมากขึ้น

อ่านข่าว :

ครม.ไฟเขียว "บุหรี่ไฟฟ้า-บารากู่" ของต้องห้าม นร.-นศ.

มติ กบฉ.ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินพื้นที่ อ.ยะหา ชงเข้า ครม.


ไม่เลื่อน! ตรุษจีนนี้จ่ายเงิน 10,000 เฟส 2 กลุ่มสูงอายุ

Tue, 7 Jan 2025 11:06:00

วันนี้ (7 ม.ค.2568) นายพิชัย​ ชุณหวชิร​ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลังกล่าวถึงการเสนอชื่อผู้ที่จะรับการสรรหาเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติคนใหม่ หลังจากที่นายกิตติรัตน์​ ณ​ ระนอง ไม่ผ่านคุณสมบัติ เนื่องจากเป็นข้าราชการการเมือง​ ว่า กำลังดูอยู่ ซึ่งน่าจะใกล้แล้ว โดยทางปลัดคลัง กำลังหารือกับ นายสถิตย์​ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานคณะกรรมการสรรหา​ นายลวรณ​ แสงสนิท​ ปลัดกระทรวงการคลัง ซึ่งอยู่ระหว่างการหารือกันอยู่

ส่วนจะใช้รายชื่อชุดเดิมหรือไม่ นายพิชัยกล่าวว่า​ ก็อยู่ระหว่างการพิจารณายืนยันว่าการสรรหาจะเร็วที่สุด และคงจะทราบหลังจากที่คลังเป็นผู้เสนอ

ส่วนความคืบหน้าการจ่ายเงิน กระตุ้นเศรษฐกิจเฟส 2 กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป จะสามารถจ่ายได้ตามกำหนดเดิม 29 ม.ค.นี้ เพื่อเป็นของขวัญในวันตรุษจีนหรือไม่ หลังจากที่นายทักษิณ​ ชินวัตร​ ประกาศในเวทีหาเสียง นายก อบจ.เชียงราย นายพิชัย​ ถึงกับหัวเราะ​ พร้อมระบุว่า ขณะนี้คนที่ดูแลบอกว่ายังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

ขณะที่การดำเนินการในเฟส​ 3 จะต้องปรึกษาคณะกรรมการกฤษฎีกาหรือไม่เนื่องจากการจ่ายเงินจะเปลี่ยนเป็นเงินดิจิทัล นายพิชัยกล่าวสั้น ๆ​ ว่า​ เ​รื่องนั้นขออีกที

สำหรับคุณสมบัติของกลุ่มผู้สูงอายุที่ได้รีบสิทธิ์เงิน 10,000 บาท เฟส 2 นั้นจะต้องลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน "ทางรัฐ" ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 เม.ย.2567 สำเร็จ มีสัญชาติไทยและมีอายุตั้งแต่ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ 15 ก.ย. 2567 (เกิดก่อนหรือในวันที่ 16 ก.ย. 2507) ไม่เป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินเกิน 840,000 บาท สำหรับปีภาษี 2566 ไม่มีเงินฝากรวมกันเกิน 500,000 บาท ณ วันที่ 30 มิ.ย.2567

อ่านข่าว

มติ ครม.แจกเงิน 10,000 บาทเฟส 2 ผู้สูงอายุ 60 ปี ม.ค.2568

ตรุษจีนนี้ รัฐบาลแจก 10,000 "กลุ่มผู้สูงวัย" รับเงินผ่านพร้อมเพย์

 


ทองคำ บวก 50 บาท เปิดตลาด “รูปพรรณ” ขายออก 43,700 บาท

Tue, 7 Jan 2025 10:09:00

วันนี้ ( 6 ม.ค.2568) เว็บไซต์ "ฮั่วเซ่งเฮง" ภาพรวมความเคลื่อนไหวที่ผ่านมาราคาทองคำราคาทองคำปรับตัวลงเล็กน้อย ซึ่งได้รับแรงกดดันจาก Bond Yield สหรัฐเพิ่มขึ้น และเจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณชะลอการปรับลดดอกเบี้ย แต่ทองคำยังได้รับปัจจัยหนุนจากดอลลาร์อ่อนค่า หลังจากมีรายงานว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ มีแผนที่จะผ่อนคลายนโยบายการตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสินค้า ส่วนกองทุน SPDR ถือครองทองคำเท่าเดิม

ตัวเลขเศรษฐกิจที่ต้องติดตามสหรัฐจะเปิดเผยดัชนี PMI ภาคบริการเดือนธ.ค. โดย ISM ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 53.5 จาก 52.1 ในเดือนพ.ย. และจำนวนตำแหน่งงานที่เปิดรับสมัคร ตลาดคาดว่าจะลดลงสู่ระดับ 7.73 ล้านตำแหน่ง จาก 7.74 ล้านตำแหน่ง

วิเคราะห์ราคาทอง คาดราคาทองคำจะเคลื่อนไหว Sideways ในกรอบ 2,630-2,650 ดอลลาร์ คาดว่าระยะสั้นราคาทองคำอาจยังเคลื่อนไหว Sideways ออกข้างสักระยะหนึ่ง เนื่องจากยังขาดปัจจัยชี้นำที่เข้ามากระตุ้น โดยราคาทองคำมีแนวรับ 2,630 ดอลลาร์ และแนวรับถัดไปที่ 2,615 ดอลลาร์

ราคาทองตลาดโลกแนวรับ : 2,630 และ 2,615 ดอลลาร์แนวต้าน : 2,650 และ 2,665 ดอลลาร์คาดราคาทองคำเคลื่อนไหว Sideways แนะนำซื้อขายตามกรอบแนวรับแนวต้าน โดยสามารถเข้าซื้อบริเวณ 2,630 ดอลลาร์ โดยมีจุดตัดขาดทุนที่ 2,620 ดอลลาร์

ราคาทองคำแท่ง 96.5%แนวรับ : 43,100 และ 42,900 บาทแนวต้าน : 43,300 และ 43,450 บาทคาดราคาทองคำแท่งจะเคลื่อนไหว Sideways แต่หากราคาทองคำแท่งยังยืนเหนือแนวรับ 43,000 บาทขึ้นได้สักระยะหนึ่ง ยังถือว่าเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าซื้อ ขณะที่สัญญาณทางเทคนิคจาก MACD ยังคงเกิด Bullish MACD แนะนำ Let Profit Run

สำหรับราคาทองคำเปิดตลาด บวก 50 บาท ส่งผลให้ราคาทองคำแท่งขายออกบาทละ 43,200 บาท และราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 43,100 บาท ราคาทองรูปพรรณขายออกบาทละ 43,700 บาท และราคาทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 42,263.72 บาท ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) อยู่ที่ 2,639.50 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ณ อัตราแลกเปลี่ยนที่ระดับ 34.59บาทต่อดอลลาร์

ราคาทองรูปพรรณรวมค่ากำเหน็จ 500 บาท มีราคาดังนี้ ทองครึ่งสลึง ราคาขาย 5,900บาท ทอง 1 สลึง ราคาขาย 11,300 บาท ทอง 2 สลึง/50 สตางค์ ราคาขาย 22,100 บาท และทอง 1 บาท ราคาขาย 43,700 บาท ภาพรวมราคาทองเดือน 7 ม.ค.2568 บวก 800 บาท

อ่านข่าว:

"ทองคำ" ผันผวน 9 ครั้ง ปิดตลาด “รูปพรรณ” ขายออก 43,650

ราคา “ทองคำ” บวก 50 “รูปพรรณ” ขายออก 43,750 บาท

ราคา “ทองคำ” ลบ150 บาท “รูปพรรณ” ขายออก 43,650 บาท


ปลุกตลาดมันสำปะหลัง พาณิชย์เร่งกระตุ้นตลาดก่อนตรุษจีน

Mon, 6 Jan 2025 18:20:00

วันนี้ (6 ม.ค.2568) นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า เพื่อเร่งผลักดันขยายตลาดส่งออกมันสำปะหลังเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้ามันสำปะหลังของไทย รวมทั้งยกระดับราคามันสำปะหลังของเกษตรกรภายในประเทศ กรมฯได้จัดคณะเดินทางจัดกิจกรรมเพื่อรักษาตลาดเดิม ฟื้นฟูตลาดเก่าและแสวงหาตลาดใหม่ในสาธารณรัฐประชาชนจีนกับบริษัทผู้นำเข้าที่ใช้มันสำปะหลังเป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมต่างๆ จำนวน 16 ราย การเจรจาจับคู่ธุรกิจการค้า (Business Matching)

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ

และการลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) ซื้อขายสินค้ามันสำปะหลังระหว่างผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทยกับผู้ซื้อ/ผู้ใช้โดยตรงของจีน ซึ่งมีความต้องการซื้อ (Demand) ได้ถึง 120,000 ตัน คิดเป็นมูลค่ารวม 1,707.64 ล้านบาท

ทั้งนี้ กรมฯจัดคณะเดินทางไปสาธารณรัฐประชาชนจีนในครั้งนี้เป็นการเพิ่มโอกาสทางการแข่งขันของมันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ฯ ของไทยในการขยายฐานการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมที่หลากหลายในสาธารณรัฐประชาชนจีนมากขึ้น

อีกทั้ง สามารถประชาสัมพันธ์คุณภาพของผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไทย เพื่อกระตุ้นความต้องการซื้อขายล่วงหน้าให้กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ เช่น อุตสาหกรรมแอลกอฮอล์ อาหารสัตว์ กาว กระดาษ ก่อนช่วงเทศกาลตรุษจีนได้ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะส่งผลดีต่อราคาของมันสำปะหลังทั้งระบบในที่สุด

สำหรับเมืองถัดไป กรมฯ จะจัดกิจกรรมในลักษณะเดียวกัน ที่นครเฉิงตู ในวันที่ 8 ม.ค 2568 โดยถือเป็นก้าวแรกของอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทยในการเข้าสู่ตลาดอาหารสัตว์ของนครเฉิงตู มณฑลเสฉวน

เนื่องจากเป็นพื้นที่เพาะเลี้ยงสุกรที่ใหญ่ที่สุดของจีน จึงถือเป็นโอกาสทางการแข่งขันของผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังของไทยในการขยายฐานการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมการผลิตอาหารสัตว์ของจีนมากขึ้น เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดการนำเข้ามันเส้นไปใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ ซึ่งจะเป็นการกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพาเพียงตลาดแอลกอฮอล์ของจีนเพียงตลาดเดียว

ทั้งนี้ ปี 2567 (ม.ค. - พ.ย.) ไทยส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไปยังจีน รวม 3.87 ล้านตัน มูลค่า 53,334.39 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 64.07 และร้อยละ 51.61 ของการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังของไทยตามลำดับ โดยเป็นการส่งออกเป็นแป้งมันสำปะหลังสูงที่สุด มูลค่า 36,725.66 ล้านบาท มันเส้นและมันอัดเม็ด 16,380.75 ล้านบาท และ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังอื่นๆ 227.98 ล้านบาท ตามลำดับ

อ่านข่าว:

พาณิชย์ รุกตลาดเอเชียใต้ ฟื้นเวทีประชุม JTC ในรอบ 10 ปี

น้ำมัน อาหาร-เครื่องดื่มขึ้น ดันเงินเฟ้อปี67 พุ่ง 0.4%

ตรุษจีนนี้ รัฐบาลแจก 10,000 "กลุ่มผู้สูงวัย" รับเงินผ่านพร้อมเพย์


"ทองคำ" ผันผวน 9 ครั้ง ปิดตลาด “รูปพรรณ” ขายออก 43,650

Mon, 6 Jan 2025 17:38:00

วันนี้ ( 6 ม.ค.2568) เว็บไซต์ "ฮั่วเซ่งเฮง" ภาพรวมความเคลื่อนไหวที่ผ่านมาราคาทองคำปรับตัวลงเล็กน้อย ซึ่งได้รับแรงกดดันจากเงินดอลลาร์แข็งค่า ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยเฉพาะตัวเลขการจ้างงานสหรัฐ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้ ท่ามกลางความกังวลจากนักลงทุนเกี่ยวกับผลกระทบจากมาตรการภาษีศุลกากรของว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่อาจส่งผลทำให้เกิดเงินเฟ้อสูง และอาจทำให้เฟดชะลอการปรับลดดอกเบี้ย

ตัวเลขเศรษฐกิจที่ต้องติดตาม สหรัฐจะเปิดเผยดัชนี PMI ภาคบริการเดือนธ.ค. โดยมาร์กิต ตลาดคาดว่าจะทรงตัวที่ระดับ 58.5 และยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนพ.ย. ตลาดคาดวาจะลดลง 0.3% จากเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนต.ค.

วิเคราะห์ราคาทองแม้ว่าราคาทองคำจะปรับตัวลง แต่ยังคงยืนเหนือเส้น SMA100 ที่บริเวณแนวรับ 2,620-2,625 ดอลลาร์ หากสามารถยืนเหนือเส้นแนวรับดังกล่าวสักระยะหนึ่งได้ อาจทำให้เกิดการฟื้นตัวระยะสั้น แต่อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวยังอยู่ในกรอบจำกัด

ราคาทองตลาดโลกแนวรับ 2,620 และ 2,600 ดอลลาร์ แนวต้าน 2,640 และ 2,650 ดอลลาร์หากราคาทองคำสามารถยืนเหนือบริเวณแนวรับ 2,620 ดอลลาร์ได้ อาจมีการฟื้นตัวเกิดขึ้น ซึ่งสามารถเข้าซื้อบริเวณ 2,620 ดอลลาร์ โดยมีจุดตัดขาดทุนที่ 2,600 ดอลลาร์

ราคาทองคำแท่ง 96.5% แนวรับ : 43,000 และ 42,800 บาท แนวต้าน : 43,300 และ 43,400 บาทคาดว่าราคาทองคำแท่งเคลื่อนไหวในกรอบแคบลง ซึ่งราคาทองคำแท่งยังติดบริเวณแนวต้าน 43,300-43,400 บาท แต่หากผ่านขึ้นไปได้ คาดว่าราคาทองคำแท่งจะปรับตัวขึ้นได้ต่อ แนะนำ Let Profit Run

สำหรับราคาทองคำปิดตลาด ไม่เปลี่ยนแปลง ผันผวน 9 ครั้ง ส่งผลให้ราคาทองคำแท่งขายออกบาทละ 43,150 บาท และราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 43,050 บาท ราคาทองรูปพรรณขายออกบาทละ 43,650 บาท และราคาทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 42,281.24 บาท ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) อยู่ที่ 2,633 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ณ อัตราแลกเปลี่ยนที่ระดับ 34.63บาทต่อดอลลาร์

อ่านข่าว:

ราคา “ทองคำ” บวก 50 “รูปพรรณ” ขายออก 43,750 บาท

ราคา “ทองคำ” ลบ150 บาท “รูปพรรณ” ขายออก 43,650 บาท

ราคา “ทองคำ” บวกแรง 500 “รูปพรรณ” ขายออก 43,750 บาท


พาณิชย์ รุกตลาดเอเชียใต้ ฟื้นเวทีประชุม JTC ในรอบ 10 ปี

Mon, 6 Jan 2025 15:36:00

วันนี้ (6 ม.ค.2568) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการพบหารือกับ นางรุคซานา อัฟซอลเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานประจำประเทศไทย ว่าทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบที่จะกลับมาประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย-ปากีสถาน (ระดับรัฐมนตรี) หลังจากห่างหายไปกว่า 10 ปี

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หารือกับ นางรุคซานา อัฟซอลเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานประจำประเทศไทย

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ หารือกับ นางรุคซานา อัฟซอลเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามปากีสถานประจำประเทศไทย

เพื่อหารือแนวทางในการส่งเสริมและพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์ร่วมกันภายใต้สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและบริบทการค้าปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น การกลับเข้าสู่การเจรจาความตกลงการค้าเสรี หรือ FTA ไทย-ปากีสถาน การส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน และการพัฒนาความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ

ได้แก่ อาหาร สิ่งทอ อัญมณีและเครื่องประดับ ประมง และการท่องเที่ยว อันจะช่วยส่งเสริมโอกาสทางการค้าและห่วงโซ่อุปทานระหว่างกัน รวมทั้งเพิ่มพูนศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศในระยะยาว โดยไทยยินดีเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (JTC) ไทย-ปากีสถาน ครั้งที่ 4 ในปี 2568

รมว.พาณิชย์ กล่าวอีกว่า ปากีสถานเป็นตลาดใหญ่ มีประชากรกว่า 240 ล้านคน มากเป็นอันดับ 5 ของโลก มีประชากรวัยทำงานที่มีกำลังซื้อมากถึง 80 ล้านคน ซึ่งการค้าระหว่างกันมีความเกื้อกูลกันและมีโอกาสขยายตัวได้อีกมากเนื่องจากสินค้าหลายรายการเป็นสินค้าขั้นกลางจากไทยที่สามารถนำไปต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มในห่วงโซ่อุปทานการผลิตของปากีสถานเพื่อรองรับตลาดภายในและส่งออกไปต่างประเทศ

เช่น ใยสังเคราะห์ เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรกลและ ส่วนประกอบ และชิ้นส่วนรถยนต์ ขณะที่ปากีสถานมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ที่สามารถเป็นวัตถุดิบให้กับอุตสาหกรรมการผลิตของไทยได้ เช่น สัตว์น้ำ อัญมณี ถ่านหิน และแร่เหล็ก ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะส่งเสริมการเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการค้าระหว่างกัน

โดยไทยได้เชิญชวนให้ผู้ประกอบการปากีสถานเข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติ My Karachi ระหว่างวันที่ 1-3 ส.ค. 2568 ที่เมืองการาจี ขณะที่ปากีสถานได้เชิญผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมงาน Pakistan ASEAN Trade Development Conference ระหว่างวันที่ 6-9 ส.ค. 2568 ณ กรุงจาการ์ตา

ทั้งนี้ ไทยและปากีสถานยังยืนยันความมุ่งมั่นในการส่งเสริมการลงทุนระหว่างกัน โดยปากีสถานได้มีการจัดตั้งสภาอำนวยความสะดวกการลงทุนพิเศษ(Special Investment Facilitation Council) เพื่อส่งเสริมและอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุนต่างชาติใน 5 สาขาหลัก

ได้แก่ เกษตรและอาหาร เทคโนโลยีสารสนเทศ พลังงานหมุนเวียน การทำเหมืองแร่ และท่องเที่ยว ในขณะที่ไทยได้เชิญชวนให้ปากีสถานเข้ามาลงทุนจัดตั้ง Data Center ในไทย โดยไทยมีความพร้อมด้านระบบนิเวศด้านเทคโนโลยีรองรับการลงทุนอย่างเต็มที่ อาทิ ระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะไฟฟ้าและน้ำ

สำหรับปากีสถานเป็นคู่ค้าอันดับ 3 ของไทยในภูมิภาคเอเชียใต้ โดยในช่วง 11 เดือนของปี 2567 (ม.ค. – พ.ย.) การค้าระหว่างไทยกับปากีสถานมีมูลค่า 1,031.76.22 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แบ่งเป็นการส่งออกของไทยไปปากีสถานมูลค่า 781.36 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เส้นใยประดิษฐ์ เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก และยางพารา และการนำเข้าของไทยจากปากีสถานมูลค่า 250.40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

สินค้านำเข้าสำคัญ เช่น สัตว์น้ำสด แช่เย็น แช่แข็ง แปรรูปและกึ่งสำเร็จรูป น้ำมันดิบ กระดาษ และผลิตภัณฑ์กระดาษ เสื้อผ้าสำเร็จรูป และผลิตภัณฑ์สิ่งทออื่น ๆ โดยไทยได้เปรียบดุลการค้า 530.97 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

อ่านข่าว:

 น้ำมัน อาหาร-เครื่องดื่มขึ้น ดันเงินเฟ้อปี67 พุ่ง 0.4%

ตรุษจีนนี้ รัฐบาลแจก 10,000 "กลุ่มผู้สูงวัย" รับเงินผ่านพร้อมเพย์

นาทีทองคนตัวเล็ก คต.ปลดล็อกขั้นตอนส่งออกข้าวเริ่มแล้ว 3 ม.ค.


น้ำมัน อาหาร-เครื่องดื่มขึ้น ดันเงินเฟ้อปี67 พุ่ง 0.4%

Mon, 6 Jan 2025 13:37:00

วันนี้ (6 ม.ค.2568) นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวถึง ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป)ปี2568 ว่า ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นเนื่องจาก ฐานปีก่อนราคาต่ำ รวมถึงราคาสินค้าในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มปรับตัวสูงขึ้นจากราคาผลไม้สด เครื่องประกอบอาหาร และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ส่วนราคาสินค้าและบริการอื่น ๆ ส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อไม่มากนัก ส่งผลให้ปี 2567 (ม.ค.-ธ.ค.) เพิ่มขึ้น 0.4% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่คาดไว้ว่าเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 0.2-0.8% ค่ากลาง 0.5%

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)

ส่วนเงินเฟ้อเดือน ธ.ค.2567 เท่ากับ 108.28 เทียบกับ พ.ย.2567 ลดลง 0.18% เทียบกับเดือน ธ.ค.2566 เพิ่มขึ้น 1.23% เป็นบวกต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9

สำหรับรายละเอียดเงินเฟ้อเดือน ธ.ค.2567 ที่สูงขึ้น 1.23% มาจากการสูงขึ้นของหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 1.28% โดยสินค้าสำคัญที่ราคาสูงขึ้น อาทิ กลุ่มผลไม้สด (กลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ กลุ่มเครื่องประกอบอาหาร กลุ่มข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง กลุ่มอาหารสำเร็จรูป และกลุ่มเนื้อสัตว์ เป็ดไก่ และสัตว์น้ำ

ส่วนสินค้าที่ราคาลดลง เช่น ผักสด พริกสด มะเขือเทศ มะนาว ผักคะน้า กะหล่ำปลี ผักกาดขาว ผักชี) ไข่ไก่ เนื้อสุกร ไก่ย่าง นมเปรี้ยว น้ำมันพืช และอาหารโทรสั่ง (Delivery) เป็นต้น

ขณะที่หมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม เพิ่มขึ้น 1.21% จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าสำคัญ โดยเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิง เช่น น้ำมันดีเซล แก๊สโซฮอล์ น้ำมันเบนซิน และยังมีค่ากระแสไฟฟ้า ค่าเช่าบ้าน ค่าโดยสารเครื่องบิน ค่ารถรับส่งนักเรียน และค่าบริการส่วนบุคคล ปรับตัวสูงขึ้น ส่วนสินค้าที่ราคาลดลง เช่นของใช้ส่วนบุคคล สิ่งที่เกี่ยวกับการทำความสะอาด และเสื้อผ้า เป็นต้น

ผอ.สนค. กล่าวถึง แนวโน้มเงินเฟ้อเดือน ม.ค.2568 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.25% และไตรมาส 1 ปี 2568 เฉลี่ยจะสูงกว่า 1% ส่วนไตรมาส 2 และ 3 จะลดลงไม่น่าถึง 1% จากนั้นจะกลับมาสูงขึ้นในระดับ 1% ขึ้นไปในไตรมาสที่ 4 รวมเงินเฟ้อทั้งปี 2568 จะอยู่ระหว่าง 0.3-1.3% ค่ากลาง 0.8%

โดยมีสมมติฐานจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ 2.3-3.3% น้ำมันดิบดูไบเฉลี่ย 70-80 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยน 34-35 บาทต่อเหรียญสหรัฐ และยังมีแรงหนุนจากเศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น จากการขยายตัวของการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชน การท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ความต้องการสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น และราคาน้ำมันดีเซลที่กำหนดเพดานไม่เกิน 33 บาทต่อลิตร ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยในไตรมาสที่ 1 และ 2 ปี 2567

อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยที่จะฉุดให้เงินเฟ้อลดลง เช่น ภาครัฐมีแนวโน้มดำเนินมาตรการช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปรับลดค่าไฟฟ้าและการตรึงราคาก๊าซ LPG ฐานราคาผักและผลไม้สด ปี 2567 อยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นผลจากสถานการณ์เอลนีโญและลานีญา

ขณะที่ในปี 2568 คาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะไม่รุนแรงและส่งผลกระทบต่อราคาไม่มากนัก และการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์และการจำหน่ายรถยนต์ภายในประเทศ ส่งผลให้ค่าเช่าบ้านและราคารถยนต์เพิ่มขึ้นอย่างจำกัด รวมทั้งยังมีความเสี่ยงที่จะทำให้เงินเฟ้อสูงหรือต่ำ จากการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้า ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนนโยบายส่งออกสินค้าเกษตรของผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น ข้าว น้ำมันปาล์ม ส่วนการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เบื้องต้นไม่มีผลกระทบต่อเงินเฟ้ออย่างมีนัยสำคัญ

อ่านข่าว:

ตรุษจีนนี้ รัฐบาลแจก 10,000 "กลุ่มผู้สูงวัย" รับเงินผ่านพร้อมเพย์

นาทีทองคนตัวเล็ก คต.ปลดล็อกขั้นตอนส่งออกข้าวเริ่มแล้ว 3 ม.ค.

ดีเซลแพง ท่องเที่ยว ส่งออกโต ดันดัชนีค่าขนส่ง Q4 ปี 67 เพิ่ม 2.7%


ราคา “ทองคำ” บวก 50 “รูปพรรณ” ขายออก 43,750 บาท

Mon, 6 Jan 2025 12:33:00

วันนี้ ( 6 ม.ค.2568) เว็บไซต์ "ฮั่วเซ่งเฮง" ภาพรวมความเคลื่อนไหวที่ผ่านมา สัปดาห์ก่อนราคาทองคำทำจุดสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ ซึ่งมีแรงซื้อทองคำจากความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ แต่วันศุกร์ราคาทองคำปรับตัวลดลง จากแรงกดดันเงินดอลลาร์แข็งค่า จากการคาดว่าเฟดอาจจะชะลอการปรับลดดอกเบี้ย และนโยบายของทรัมป์ที่สนับสนุนการเพิ่มภาษีศุลกากรจะหนุนดอลลาร์แข็งค่า ส่วนกองทุน SPDR ขายทองคำ 1.44 ตันในสัปดาห์ก่อน

ตัวเลขเศรษฐกิจที่ต้องติดตาม สหรัฐจะเปิดเผยดัชนี PMI ภาคบริการเดือนธ.ค. โดยมาร์กิต ตลาดคาดว่าจะทรงตัวที่ระดับ 58.5 และยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนพ.ย. ตลาดคาดวาจะลดลง 0.3% จากเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนต.ค.

วิเคราะห์ราคาทอง ราคาทองคำปรับตัวลงเข้าใกล้บริเวณแนวรับ 2,635-2,640 ดอลลาร์ ซึ่งหากยืนเหนือบริเวณแนวรับดังกล่าวได้ อาจทำให้ราคาทองคำฟื้นตัวขึ้น แต่คาดว่าการฟื้นตัวมีกรอบจำกัด ซึ่งราคาทองคำอาจยังเคลื่อนไหวในกรอบ 2,635-2,650 ดอลลาร์

ราคาทองคำแท่ง 96.5%แนวรับ : 43,000 และ 42,900 บาทแนวต้าน : 43,250 และ 43,350 บาท แม้ว่าช่วงวันศุกร์ราคาทองคำโลกจะปรับตัวลง แต่ราคาทองคำแท่งยังสามารถยืนเหนือ 43,000 บาทขึ้นไป จากแรงหนุนเงินบาทอ่อนค่า ทั้งนี้หากราคาทองคำแท่งยังไม่หลุดแนวรับดังกล่าว ก็ยังมีโอกาสที่ราคาทองคำแท่งปรับตัวขึ้นต่อได้ แนะนำ Let Profit Run

สำหรับราคาทองคำเปิดตลาด บวก 100 บาท (ครั้งที่ 2) ส่งผลให้ราคาทองคำแท่งขายออกบาทละ 43,250 บาท และราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 43,150 บาท ราคาทองรูปพรรณขายออกบาทละ 43,750 บาท และราคาทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 42,372.20 บาท ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) อยู่ที่ 2,645 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ณ อัตราแลกเปลี่ยนที่ระดับ 34.56 บาทต่อดอลลาร์

ราคาทองรูปพรรณรวมค่ากำเหน็จ 500 บาท มีราคาดังนี้ ทองครึ่งสลึง ราคาขาย 5,906 บาท ทอง 1 สลึง ราคาขาย 11,313 บาท ทอง 2 สลึง/50 สตางค์ ราคาขาย 22,125 บาท และทอง 1 บาท ราคาขาย 43,750 บาท ภาพรวมราคาทองเดือน ม.ค.2568 บวก 850 บาท

 อ่านข่าว:

ราคา “ทองคำ” ลบ150 บาท “รูปพรรณ” ขายออก 43,650 บาท


ราคา “ทองคำ” บวกแรง 500 “รูปพรรณ” ขายออก 43,750 บาท

ราคา “ทองคำ” ปี2568 ยังไปต่อ “รูปพรรณ” ขายออก 43,100 บาท

 


ตรุษจีนนี้ รัฐบาลแจก 10,000 "กลุ่มผู้สูงวัย" รับเงินผ่านพร้อมเพย์

Sat, 4 Jan 2025 14:48:00

วันนี้ (4 ม.ค.2567) นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ เงินช่วยเหลือ 10,000 บาท เฟส2 ซึ่งเป็นโครงการที่จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนเพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชนผู้มีอายุ 60 ปีขึ้นไป โดยจะจ่ายให้กลุ่มเป้าหมายที่ลงทะเบียนไว้แล้วผ่านบัญชีพร้อมเพย์ (PromptPay) โดยรัฐบาลยืนยันว่าจะโอนเงินได้ทันช่วง เทศกาลตรุษจีนนี้ อย่างแน่นอน

สำหรับคุณสมบัติของกลุ่มผู้สูงอายุที่ได้รีบสิทธิ์ เงิน 10,000 บาท เฟส 2 นั้นจะต้องลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน ทางรัฐ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 เม.ย.2567 สำเร็จ มีสัญชาติไทยและมีอายุตั้งแต่ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ณ วันที่ 15 ก.ย. 2567 (เกิดก่อนหรือในวันที่ 16 ก.ย. 2507) ไม่เป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินเกิน 840,000 บาท สำหรับปีภาษี 2566 ไม่มีเงินฝากรวมกันเกิน 500,000 บาท ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2567

และต้องไม่เป็นผู้อยู่ในสถานสงเคราะห์ในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ณ วันที่ 30 พ.ย.2567 ต้องไม่เป็นผู้ต้องขัง 4 ประเภท ได้แก่ นักโทษเด็ดขาด ผู้ต้องขังระหว่าง ผู้ต้องกักขัง และผู้ต้องกักกัน ตามฐานข้อมูลของกรมราชทัณฑ์ ณ วันที่ 30 พ.ย. 2567รวมถึงไม่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับเงินตามโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ

สำหรับประชาชนที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรับเงินช่วยเหลือ 10,000 บาท สามารถตรวจสอบสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชันของภาครัฐ หรือสายด่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมพร้อมรับเงินทันช่วงเทศกาลตรุษจีนนี้

 อ่านข่าว:

เช็กเงื่อนไข Easy E-Receipt 2.0 ชอปสินค้าอะไรลดหย่อนภาษี 2568

ผ่านเผาหลอก-สู่เผาจริง ? ฝ่ามรสุมเศรษฐกิจไทยปี 2568

TDRI ชี้เศรษฐกิจไทยปี68 “ไม่ตายแต่ไม่โต” มรสุมการค้า-สงครามทำโลกปั่นป่วน


ราคา “ทองคำ” ลบ150 บาท “รูปพรรณ” ขายออก 43,650 บาท

Sat, 4 Jan 2025 11:40:00

วันนี้ ( 4 ม.ค.2568) เว็บไซต์ "ฮั่วเซ่งเฮง" ภาพรวมความเคลื่อนไหวที่ผ่านมา ราคาทองคำเคลื่อนไหวกรอบแคบ แต่ปรับตัวขึ้นรายสัปดาห์ จากแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย เนื่องจากตลาดหันไปสนใจเกี่ยวกับนโยบายของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่อาจส่งผลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยในอนาคต ซึ่งการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ในวันที่ 20 ม.ค.อาจทำให้ความไม่แน่นอนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งนโยบายกีดกันทางการค้าอาจส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ และสงครามการค้าได้

วิเคราะห์ราคาทอง แม้ว่าราคาทองคำจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบ แต่ราคาทองคำยังคงยืนเหนือเส้น SMA50 ทั้งนี้ได้เกิดสัญญาณซื้อ (Buy signal) จาก MACD และ Modified Stochastic ทำให้ราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้ต่อ

สำหรับราคาทองคำเปิดตลาด ลบ 150 บาท ส่งผลให้ราคาทองคำแท่งขายออกบาทละ 43,150 บาท และราคาทองคำแท่งรับซื้อบาทละ 43,050 บาท ราคาทองรูปพรรณขายออกบาทละ 43,650 บาท และราคาทองรูปพรรณรับซื้อบาทละ 42,281.24 บาท ราคาทองคำตลาดโลก (Gold Spot) อยู่ที่ 2,640 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ณ อัตราแลกเปลี่ยนที่ระดับ 34.53 บาทต่อดอลลาร์

ราคาทองรูปพรรณรวมค่ากำเหน็จ 500 บาท มีราคาดังนี้ ทองครึ่งสลึง ราคาขาย 5,894 บาท ทอง 1 สลึง ราคาขาย 11,288 บาท ทอง 2 สลึง/50 สตางค์ ราคาขาย 22,075 บาท และทอง 1 บาท ราคาขาย 43,650 บาท ภาพรวมราคาทองเดือน ม.ค.2568 บวก 750 บาท

อ่านข่าว:

ราคา “ทองคำ” บวกแรง 500 “รูปพรรณ” ขายออก 43,750 บาท

ราคา “ทองคำ” ปี2568 ยังไปต่อ “รูปพรรณ” ขายออก 43,100 บาท

รับเปิดปีใหม่ “ทองคำ” บวก 250 บาท รูปพรรณ” ขายออก 43,150